รีวิว He s All That

“Kiss me… Out of the bearded barley…” เพลงทวงทำนองเพลงดังของ ‘Sixpence None the Richer’ ดังคลอมาเบาๆ ให้หวนคิดถึงวันวานเมื่อสัก 20 ปีที่แล้ว เพราะนี่คือหนังที่รีเมคสร้างใหม่จากหนังโรแมนติกวัยรุ่นแห่งยุค ออกมาเป็น “He’s All That” ฉบับสลับขั้วกันเบาๆ เปลี่ยนจากแปลงโฉมสาวเฉิ่มมาเป็นหนุ่มเนิร์ดแทน แต่ผลลัพธ์ที่ได้ออกมานั้น…จะน่าประทับใจหรือไม่ รีวิวนี้จะกลั่นออกมาจากใจคนดูเคยดูเวอร์ชั่นต้นฉบับทัน ดูหนัง ดูหนังออนไลน์

 

He’s All That เป็นเรื่องราวของ แพตเกตต์ กับเพื่อนสาวของเธอ ที่เป็นเสมือนเน็ตไอดอลที่มักจะเฝ้าหาคอนเทนต์ต่างๆ ในชีวิตประจำวันให้ยอดผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียเพิ่มขึ้นและเป็นต้นทุนในการหาสปอนเซอร์เรียนต่อมหาวิทยาลัย เธอมีพรสวรรค์ ในการจูงใจและเปลี่ยนแปลงคนธรรมดาๆ ดูดีขึ้น โดยเฉพาะด้านภาพลักษณ์ และเธอก็ได้พบกับเป้าหมายใหม่ นั่นก็คือ คาเมรอน หนุ่มติสท์ผสมเนิร์ดประจำโรงเรียน ที่กลายเป็นเกมพนันกับเพื่อนๆ ท้าให้เธอมาเมคโอเวอร์ให้เขาเป็นเทพบุตร

 

ใช่แล้ว…เนื้อเรื่องและเนื้อหาของ He’s All That แทบจะเหมือนกับ She’s All That เกือบจะทุกอณูเลยก็ว่าได้ เพียงแค่สลับขั้วตัวละครเท่านั้นเอง เวอร์ชั่นนี้กลายเป็นสาวฮอตในสังคมมาเปลี่ยนแปลงหนุ่มต้านสังคมให้ขับเสน่ห์ออกมาทำให้โลกสั่นสะท้าน ลำดับเรื่องต่างๆ มาในทิศทางคล้ายกันหมด เพียงแค่ปรับรูปแบบให้เข้ากับยุคและสมัยมากขึ้นเท่านั้นเอง

 

รีวิว He s All That

 

คือถ้าจะบอกตามตรงก็คือ He’s All That คือสูตรสำเร็จที่เฉิ่มๆ เชยๆ ทั้งหมดนั้นแหละ ไม่ได้มีความแปลกให้อะไรเลย มีประเด็นแสงสีในสังคมโซเชียลมีเดียที่เข้ามาเสริมเนื้อเรื่องหลักตามสมัยนิยมก็แค่เท่านั้น ทุกไดอะล็อกและโครงสร้างเรื่องไม่ได้ ใหม่เลย อีกทั้งหนังยังสร้างออกมาดูเหมือนกับพวกหนังเกรดรองๆ ที่มีภาพสีสดๆ ทุนสร้างไม่เยอะเท่าไหร่ เอาไว้ออกฉายทางทีวีหรือสร้างออกมาเป็นหนังแผ่นประมาณนั้นเลย

 

แต่ภายใต้สูตรสำเร็จต่างๆ นั้นก็ทำให้ He’s All That เป็นหนังที่ดูได้เพลินๆ ไม่ได้รู้สึกน่าเบื่ออะไร ทั้งที่ก็รู้อยู่แล้วว่าเรื่องราวจะเกิดอะไรขึ้นต่อ ไปในทิศทางไหน คงต้องขอบคุณเสน่ห์ของนักแสดงของเรื่องที่ช่วยพยุงตัวหนังที่แทบจะไม่มีอะไรเลยเอาไว้ “แอดดิสัน เรย์” มีเสน่ห์บนจอมากๆ แม้ว่าบทที่เธอได้รับจะตื้นเขินไปเสียหมด แต่ก็ใช้เสน่ห์ของเธอมาขับเคลื่อนตัวละครให้ดูมีอะไรได้ดี

 

ขณะที่ “แทนเนอร์ บูแคนัน” ก็ดูลึกลับมีเสน่ห์แบบแปลกๆ เช่นกัน คาแรกเตอร์ของเขามีแนวคิดที่แปลกแต่จริง มีความน่าค้นหา แต่ก็เช่นกันที่บทของเขาไม่ได้ลงรายละเอียดและสร้างมิติอะไรได้เท่าไหร่นัก และเมื่อคู่พระนางมาเข้าฉากด้วยกันก็เป็นแพคคู่ที่น่ามอง และส่งเสริมเสน่ห์ของหนังไปได้ดี

 

รีวิว He s All That

 

ส่วนที่น่าจะถูกใจและทำให้คอหนังที่เคยทันดูเวอร์ชั่นก่อนได้รู้สึกอิ่มเอมเป็นพิเศษ ก็คงจะเป็นกิมมิกเล็กๆ น้อยๆ จากหนังฉบับปี 1999 ที่นำมาใส่เอาไว้เป็นอีสเตอร์เอ้กให้ได้คิดถึงเบาๆ มีอยู่หลายจุดอยู่เหมือนกันนะ ต้องคอยสังเกตเอา แต่ที่ไม่ต้องสอดส่องเลยก็คือ “เรเชล ลีห์ คุก” กลับมาเป็น ‘แอนนา ซอว์เยอร์’ อีกครั้ง คราวนี้มาเป็นคุณแม่แล้ว ยังสวยหน้าเด็กเหมือนเดิม

 

และยังมี “แมทธิว ลิลลาร์ด” ที่คราวนี้กลับมาในตำแหน่ง ‘ครูใหญ่’ เลย อีกคนที่โผล่มาเซอร์ไพรส์เบาๆ นั่นก็คือ “ไมร่า มอลลอย” หรือ น้องไมร่า มณีภัสสร แชมป์ไทยแลนด์ก็อตทาเลนท์คนแรกของไทย ที่ตอนนี้น้องโตเป็นสาวจำแทบไม่ได้ กระทั่งมาเห็นชื่อในเครดิต นี่คือหนังเรื่องแรกของน้องเลย และน้องกำลังบุกเบิกผลงานในฮอลลิวูดอยู่

 

He’s All That เป็นผลงานการกำกับของ “มาร์ค วอเตอร์ส” ที่เห็นแล้วก็แอบเสียดาย เพราะรู้สึกว่าชิ้นงานของเขาฝีมือตกลงไปพอสมควร นี่คือผู้กำกับที่เคยทำหนังดังๆ มาหลายเรื่อง (เช่น Mean Girls, Freaky Friday หรือ Ghosts of Girlfriends Past) แต่ช่วงทศวรรษที่แล้ว เส้นทางอาชีพเป๋ไปจับได้แต่งานจอเล็กทั้งนั้น ทำให้หนังเรื่องนี้จึงออกมาดูเป็นหนังสเกลจอเล็กไปด้วยอย่างน่าเสียดาย

 

รีวิว He s All That

 

เอาเป็นว่าในภาพรวมแล้ว He’s All That ไม่ได้เป็นหนังที่ถึงกับย่ำแย่เลวร้ายใดๆ แต่ก็ยังไม่ใชหนังที่ดีสักเท่าไหร่ หนังเต็มไปด้วยช่องโหว่และจุดบกพร่องแบบเชยๆ อยู่เต็มไปหมด บางองค์ประกอบที่ใส่เข้ามาก็แอบคิดอยู่ในใจเหมือนกันว่า “ฮัลโหล…นี่ปี 2021 แล้วนะ” เพราะหนังยังยัดเยียดใส่ความเชยในรูปแบบหนังยุคปี 2000 เข้ามาอยู่ ที่ดูเหมือนเข้ากับสมัยเอาเสียเลย เชื่อว่า He’s All That อาจจะทำให้คอหนังยุค 90 ได้คิดถึงหนังต้นฉบับได้อยู่บ้าง แม้ว่านี่จะไม่ใช่หนังที่น่าประทับ

เนื้อเรื่อง รีวิว He s All That

ใจและจดจำอะไรสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่ด้วยความคลาสสิกของ She’s All That ที่จะว่าไปก็เป็นต้นฉบับที่ไม่ได้เป็นหนังดีเลิศเลออะไรขนาดนั้นเลย แต่ถ้าต้องเอามาเปรียบเทียบกันแล้วละก็ แน่นอนว่าต้นฉบับ…ก็ยังไงเหนือชั้นและมีอะไรให้น่าจดจำเยอะกว่า มันต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว… หนังหยิบจับของเก่ามาแปลงใหม่ได้ดีแค่ช่วงแรก เคมีพระเอกนางเอกดูมีเสน่ห์เข้ากันได้ มีความพยายามใส่ประเด็นใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มหลายอย่าง แต่กลายเป็นไม่จริงจังเลยสักอย่าง บทอ่อนยวบรวบรัดจบทุกอย่างจนดูปลอมๆ ตัวร้ายทื่อๆ ไร้มิติจนดูโง่

 

และยิ่งความพยายามนำเอาเพลง Kiss Me มาใช้ใหม่ กลับใส่ไม่ถูกจังหวะจนกลายเป็นไร้มนต์เสน่ห์เมื่อเทียบกับจังหวะในเวอร์ชั่นก่อน เป็นหนังที่ดูเหมือนอยากดึงเอามนต์เสน่ห์เก่าๆ กลับมา แต่กลับได้ผลตรงกันข้ามทำลายความรู้สึกแฟนๆ รุ่นเก่าแทน แต่สำหรับผู้ชมที่ไม่ได้ดูเวอร์ชั่นก่อนก็อาจจะชิลๆ ไปกับเรื่องได้ง่ายกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนี่ก็ยังไม่ใช่หนังที่ดีอะไรนักเมื่อเทียบกับหนังรักวัยรุ่นชื่อดังเรื่องอื่นที่มีดีกว่ามากมายในประเด็นเดียวกันอีกด้วยครับ ดูหนัง ดูหนังออนไลน์

 

 

หนังวัยรุ่นตำนานคลาสสิคที่โด่งดังพร้อมเพลง Kiss Me ของวง sixpence none the richer มาจนปัจจุบันเพลงนี้ก็ยังเปิดฟังกันทั่วไปเรื่อยๆ ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ก็มาพร้อมเครดิตผู้เขียนบทคนเดิม R. Lee Fleming Jr. แต่เปลี่ยนผู้กำกับเป็น Mark Waters ที่มีเครดิตดีหลายเรื่องอยู่ในตัว แต่ที่เรื่องนี้เอาชื่อเขามาโปรโมทคือหนังวัยรุ่นตัวแม่

 

สุดคลาสสิคเช่นกันอย่าง Mean Girls (ปี 2004) ที่ดังระเบิดขนาดที่โอบาม่าก็ยังเอามาพูดถึงว่าต้องดู ซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นสาววัยรุ่นที่ต้องปรับเปลี่ยน ตัวเองขนานใหญ่เพื่อเข้ากับสังคมไฮสคูลที่มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในหมู่ผู้หญิงกันสุดๆ  (ใครที่ยังไม่เคยดูสามารถดูได้ทาง HBO แบบถูกลิขสิทธิ์ ตามลิ้งตรงนี้คลิ๊ก) พอมากำกับเรื่องนี้ก็เลยดูเหมาะเจาะมาก เพราะถึงแม้นี่จะเป็นเวอร์ชั่นผู้ชาย แต่ก็คือ

 

 

การเล่าเรื่องจากผู้หญิงที่มีสังคมไฮสคูลแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันทุกเวลา ซึ่งไฮไลท์สูงสุดอันเป็นรางวัลเกียรติยศคือราชินีงานพรอมเคียงคู่กับผู้ชายที่ต้องเป็นสุดป็อบในโรงเรียนเช่นกัน ซึ่งแม้พล็อตเรื่องอาจจะไม่ใหม่ แต่ดีกรีหนังในตำนานที่กลับมาพร้อมทีมงานชื่อชั้นขนาดนี้ คนดูย่อมต้องคาดหวังว่าจะสามารถนำมนต์ขลังใน She’s All That มาสู่ยุคนี้ได้พอตัว

 

โครงเรื่องราวยังเป็นเช่นเดิม แต่มีการอัพเดทเทคโนโลยีให้ร่วมสมัยขึ้น สำหรับคนไม่เคยดูก็เ]jkคร่าวๆ ว่าภาคนี้นางเอก Padgett Sawyer (รับบทโดย Addison Rae เล่นหนังใหญ่เรื่องแรกด้วย) เธอเป็นคนดังในโลกออนไลน์ ที่พลาดหลุดเหวี่ยงใส่แฟนตอนถ่ายทอดสดหลังเจอแฟนนอกใจ ด้วยความนิยมที่ตกต่ำลง สปอนเซอร์ก็ถอนตัว เธอจึงหาทางกลับมาด้วยการรับคำท้าเพื่อนในแก๊งว่าให้ปั๊มหนุ่มหล่อขึ้นมาใหม่ให้เป็นราชางานพรอมพร้อมกับเธอให้ได้ โดยเลือกหนุ่มสุดเห่ยใน

 

 

โรงเรียนอย่าง Cameron Kweller (รับบทโดย Tanner Buchanan) ให้มารับบทนี้โดยไม่รู้ตัวว่าเป็นของเดิมพันกัน แต่กลายเป็นว่าเขาเปล่งประกายมีเสน่ห์ขึ้นมาเกินคาด จนทำให้เธอหวั่นไหวชอบเขาขึ้นมาจริงๆ ในฐานะที่ตัวผู้เขียนเองก็เป็นแฟนเรื่องนี้ขนาดหนักเช่นกัน (ดูจบในโรงออกมาไปซื้อแผ่นเพลง Kiss me กลับบ้านเลย) เข้าใจว่าแฟนรุ่นเก่าก็คงรับได้ที่พล็อตมันยังเชยๆ อยู่เช่นเดิม แต่กับคนรุ่นใหม่พล็อตแบบนี้คงยิ่งกว่าเชย แถมเกร่อสุดๆ ตรงนี้ขอข้ามไป

รีวิว He s All That

รีวิวในฐานะแฟนรุ่นเก่ากับเรื่องนี้มากกว่านะครับ ที่แฟนรุ่นเก่าต้องการคือการนำความคลาสสิคมาดัดแปลงให้ดูสดใหม่ทันสมัย ซึ่งไอเดียการกลับด้านตัวเอกทั้งคู่ก็ถือว่าใช้ได้เลย ทำให้เห็นว่าพอมีอะไรที่จะสดใหม่ได้แน่ๆ ซึ่งตัวหนังในช่วงแรก จนถึงกลางเรื่องไปถือว่าสนุก ชวนอมยิ้มกับการกลับคาแรกเตอร์ ทำให้คนดูได้เห็นมุมของสาววัยรุ่นที่หมกหมุ่นอยู่กับความสวยทรงเสน่ห์

 

เพื่อหาผู้ติดตามมาเพิ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายพระเอกกลับตรงข้ามกันเป็นพวกติสแตกกับสังคมโลกใบนี้ ไม่อยากให้ ใครรับรู้เรื่องราวของตัวเขา แถมยังแอนตี้ระบบสังคมในปัจจุบันแทบจะทั้งหมด พระเอกไม่ได้สนใจเรียนหรือเข้ามหาวิทยาลัย อยากใช้ชีวิตอิสระท่องเที่ยวถ่ายรูปที่เก็บไว้ดูเป็นส่วนตัว ซึ่งตัวนางเอกพอมาคลุกคลีกับพระเอกในช่วงเห่ย เคมีที่คาดหวังไว้ก็

 

ถือว่าได้ แม้ในตอนแรกอาจจะดูไม่อินกับหน้าตานางเอกสักเท่าไหร่ แต่ฉากแรกที่ทั้งคู่หัวเราะกันหลังเปื้อนขี้ม้า ผมถือว่าผ่านเลยกับเคมีที่ต้องเข้ากันได้ เรียกว่าแฟน She’s All That แอบใจชื้นขึ้นมาเลยว่าหนังน่าจะดีพอตัวไม่แพ้กัน เพราะคู่เดิม เฟรดดี พรินซ์ จูเนียร์ กับ เรเชล ลีห์ คุ๊กคือเคมีเข้ากันมากจริงๆ ซึ่งตัวเรเชลเองก็กลับมารับบทแม่ของนางเอกในเรื่องนี้ด้วย

 

 

แต่ได้บทเพียงน้อยนิดเท่านั้น แล้วก็ไม่ได้มีฉากสำคัญอะไรกับเรื่องเลย จนแอบน่าเสียดายหน่อยๆ ที่เอาเธอกลับมาเล่นแค่นี้ (ส่วนเฟรดดีพริ้นเลิกเป็นนักแสดงไปนานแล้ว) ซึ่งพอเคมีของตัวเอกเข้ากันได้แบบนี้ หนังก็เดินหน้าไปด้วยการเดินตามสูตรเดิม แต่แอบหยอดเพิ่มประเด็นเข้ามาหลายอย่างแบบนิดๆ อย่างปมแม่ของพระเอกที่เสียชีวิตไปจนทำให้ตัวเองเศร้าหมองที่มาของการแอนตี้สังคมในตอนแรก นางเอกเองก็มี

 

พื้นฐานทางบ้านฐานะปานกลาง แต่ทำตัวไฮโซหลอกคนอื่นว่าบ้านรวย เพื่อนของทั้งคู่ก็เป็นเลสเบี้ยนที่แอบมาปิ๊งกัน น้องสาวพระเอกก็ชอบคนมีชื่อเสียง พอเห็นนางเอกเข้าหาพี่ชายของตัวเองก็กลายเป็นอยากเข้ามาในสังคมป็อบนี้เช่นกัน ซึ่งประเด็น เหล่านี้ในเวอร์ชั่นเก่าไม่ได้มีแฝงไว้นัก เรียกว่าตัวเรื่องตรงแหน่วโฟกัสที่เรื่องรักของทั้งคู่มากกว่า

 

แต่มาเวอร์ชั่นนี้การใส่ประเด็นเสริมพวกนี้มาก็เข้าใจได้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยทำให้เรื่องดูทันสมัยขึ้นก็น่าจะเป็นเรื่องดี แต่สิ่งที่ไม่ดีคือตัวเรื่องหลังนี้กลับไม่ นำเอาประเด็นเหล่านี้ไปใช้จริงจัง แถมยังรวบรัดทุกอย่างให้ผ่านไปอย่างง่ายๆ จนทำให้คนดูรู้สึกได้เลยว่าหลังจากการแปลงโฉมพระเอกเห่ยไปหล่อ ตัวบทดูเหมือนหมดมุกพยายามรวบรัดเรื่องอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่พระเอกที่อยู่ๆ ก็จะจูบนางเอกก่อน

 

 

หลายครั้งทั้งๆ ที่ภาพลักษณ์เดิมคือคนเห่ยๆ แถมยังทำให้พระเอกดูเป็นคนเก่งขึ้นมาทันทีหลายอย่างจนเกินไป ดูเหมือนไม่ต้องแปลงโฉมเลยก็ได้ถ้าจะเก่งขนาดนี้ ต่างกับเวอร์ชั่นก่อนที่แม้นางเอกจะมีดีในตัว แต่ก็ยังไม่พลิกกันปุ๊บปั๊บขนาดนี้ จนทำให้ประเด็นก่อนหลังแปลงโฉมเหลือแค่ทรงผมหน้าตาที่ต่างกันเท่านั้น

 

หรือการที่นางเอกคิดได้ขึ้นมาทันทีว่าที่ผ่านมาตัวเองไม่ได้ขายความจริงใจให้กับแฟนๆ ผู้ติดตาม ซึ่งตัวเรื่องอยู่ๆ ก็ให้นางเอกคิดได้ตาสว่างกับทุกอย่างขึ้นมาง่ายๆ จนไม่ทำให้เชื่อได้ลงสักเท่าไหร่ ซึ่งบทช่วงท้ายพยายามรวบรัดตัดตอนให้ทุกอย่างไปสู่

 

บทสรุปแบบแทบไม่ต้องมีการดิ้นรนพยายามอะไรเลย ซึ่งถึงแม้เป็นหนังรักวัยรุ่นก็ตามก็ควรต้องมีอะไรมากกว่านี้ อย่าง Mean Girls ของผู้กำกับคนนี้ก็เล่นประเด็นเดียวกันกลับทำได้ดีกว่าทั้งการกลับใจที่ดูจริงกับบทสรุปสอนคนดูในตอนท้ายได้อย่างน่าสนใจ แต่กลับเรื่องนี้คือดูปลอมง่ายๆ ไปหมด จนถึงขนาดฉากแนวพระเอกขี่ม้าขาวมาในตอนจบที่ดูขายฝันน้ำเน่าจนดูปลอมมาก รีวิว หนังรัก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *