รีวิว Holding the Man

Holding the Man เป็นการเล่าเรื่องความรักต้องห้ามโดยมีพื้นหลังเหตุการณ์อยู่ในช่วงประมาณยุค 60’s- 80’s ในช่วงเวลาที่ทิม และ จอห์นมีความรักให้แก่กันตั้งแต่วัยรุ่น ซึ่งแน่นอนว่ายุคนั้นครอบครัวของทั้งคู่ไม่เห็นด้วย เรื่องราวค่อย ๆ ไล่เรียงถึงเติบโตเป็นวัยผู้ใหญ่ ซึ่งทั้งคู่เริ่มจะมีเวลาด้วยกันน้อยลงทุกทีจากการติดเชื้อ HIV ซึ่งในยุคนั้นโรคเอดส์ได้แพร่ระบาดในหมู่ชายรักชาย และ ได้พรากชีวิตคู่รักไปจำนวนมาก

เนื้อเรื่อง รีวิว Holding the Man

 

รีวิว Holding the Man

 

เป็นเรื่องของผู้ชายรักร่วมเพศ ทิโมที คอนนิเกรฟ (Ryan Corr) กับ จอห์น คาลีโอ (Craig Matthew Stott) ทั้งคู่ได้มีใจให้กันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ความสัมพันธ์ของพวกเขาถลำลึกมากขึ้นทุกวัน จนความไปถึงหูครอบครัว ทำให้ครอบครัวของทั้งคู่ไม่โอเค ร้องขอให้ยุติความสัมพันธ์ลง แต่ ‘Dopamine’  ฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกดี ไวต่อสิ่งกระตุ้น สารที่ทำให้มีความสุข ดูหนัง 

เรื่องย่อ รีวิว Holding the Man

 

รีวิว Holding the Man

 

หลั่งออกมามากเกินไป พวกเขาไม่จบตามที่ครอบครัวร้องขอ กลับจูงมือกันออกจากบ้าน ไปอยู่ที่อื่น ที่ ๆ ทำให้เขารักกันได้ แล้วร่วมทุกข์ร่วมสุขกันยาวนานถึง 15 ปีบันทึกเล่มนี้ของทิมเล่าตั้งแต่การจีบกัน จนถึงการลาจากความรักที่เหนียวแน่นยาวนาน พร้อมทั้งน้ำเสียงวิจารณ์สังคมที่แนบเนียนไปกับความโรแมนติกของห้วงรัก อย่างในช่วงเปิดเรื่องที่อิงกับ

 

ประสบการณ์ครั้งที่ทิมเรียนอยู่ในโรงเรียนศาสนา เขาได้กล่าวถึงสภาพสังคมช่วงนั้นของโลกตะวันตกที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอของการเรียกร้องเสรีภาพ และ การพัฒนาเทคโนโลยี แต่ในขณะเดียวกันครูในโรงเรียนก็ยังคงใช้อำนาจกดนักเรียน และ ยังพยายามปลูกฝังแนวคิดทางอนุรักษ์นิยม ทิมได้เอ่ยถึงการพัฒนาทางสังคมภาพใหญ่ตั้งแต่นโยบายกัญชาจนถึงมนุษย์เหยียบดวงจันทร์ แต่ก็ยังมีผู้เคร่งครัดในศีลธรรมของตนที่แกมบังคับให้ผู้อื่นเห็นงามด้วยกับกรอบศีลธรรมเหล่านั้น สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าภาพใหญ่ และ ภาพเล็กเป็นอย่างไรในตอน ดูหนังออนไลน์

 

รีวิว Holding the Man

 

เมื่อเขายังเด็ก เป็นการปูบริบทให้เห็นถึงความสำคัญของสังคมส่วนย่อย และ วิจารณ์ถึงโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง แต่อุดมการณ์บางส่วนของบางคนก็ไม่สามารถวิวัฒนาการไปสู่ระบบคิดใหม่ ๆ ได้ และ นี่คือปฐมบทของการแสดงให้เห็นถึงตัวอย่างของสังคมที่ไม่ยอมรับรักแบบเพศเดียวกัน แม้จะไม่แสดงภาพของการกดขี่นั้นออกมาตรง ๆ ก็ตาม

 

ความแยบยลของทิมคือการโยงมิติความรักที่เหมือนจะเป็นเรื่องส่วนตัวเข้ากับภาพใหญ่ของสังคมที่ส่งผลถึงกันอย่างแยกไม่ได้ เช่นการตั้งคำถามว่า ท้ายที่สุดแล้วมนุษย์ต้องก้าวข้ามจากสิ่งใดไปสู่สิ่งใดบ้างจากการพัฒนาถนนสู่ดวงจันทร์ แน่นอนว่าการเหยียบดวงจันทร์ได้เกิดขึ้นแล้ว แต่จากความรักตามขนบไปสู่ความรักที่กว้างขวางไร้ข้อจำกัดล่ะ จะเกิดขึ้นได้เมื่อไร

 

 

แม้หนังสือเล่มนี้จะมีประเด็นการวิพากษ์สังคมฉายให้เห็นถึงอุปสรรคทางความรักทั้งจากสังคม ครอบครัว และ การถูกมองว่าชายรักชายเป็นเรื่องไม่ปกติ แต่หนังสือเล่มนี้ยังฉายภาพความโรแมนติก รักในอุดมคติของทั้งคู่ที่ให้เห็นว่า นี่คือบันทึกรักเป็นเรื่องของคนสองคนที่อยากอยู่ด้วยกันตลอดไปไม่ว่าจะมีเงื่อนไขใด ๆ พวกเขาก็จะพยายามทลายกรอบต่าง ๆ เพื่อครองคู่กันต่อไป เช่นฉากสำคัญที่ทั้งคู่ในวัยรุ่นถูกพ่อแม่ และ คนในครอบครัวจับได้ว่ารักกัน ครอบครัวของพวกเขาพยายาม

 

กีดกัน และ บอกกับพวกเขาว่าสิ่งนี้ผิดปกติ “เดี๋ยวโตไปก็หาย” “นัดจิตแพทย์รักษาหายได้” พวกเขาไม่สน และ ยังคงพยายามดำเนินความสัมพันธ์แบบคู่รักต่อไปราวกับโลกทั้งใบเป็นอาณาเขตของเขาเพียงสองคนหนังสือเล่มนี้ชวนให้คิดถึงมวลความรู้สึกที่เรียกว่าความรักในกรอบคิดที่ไม่ผูกติดกับเพศสภาพอันเป็นขนบอีกต่อไป พร้อมทั้งหันมองว่ากรอบของสังคมที่มีอยู่นั้นให้ความเป็นธรรมกับเรื่องพื้นฐานอย่าง การจะรักใครสักคน เพียงพอหรือยัง ดูหนัง 4k

 

 

ในบทสำคัญอีกช่วงของเรื่องคือการที่ทั้งคู่พยายามจะเรียกร้องให้การแสดงความรักของเพศเดียวกันสามารถแสดงออกในที่สาธารณะได้ โดยในเรื่องเป็นช่วงยุค 70’s ระหว่างบุปผาชนบานสะพรั่ง ณ มหาวิทยาลัยโมนาช (Monash University) โดยมีการเรียกร้องให้สามารถแสดงออกถึงกิริยากอดจูบ และ อื่น ๆ ที่มีความหมายถึงความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่น หรือเป็น

 

กิริยาที่ทำกับคนรักได้ การเรียกร้องนี้อย่างแรกคือการทำให้เสรีภาพทางการแสดงออกสามารถทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่สาธารณะที่เป็นของทุกคน และ สองเป็นการทดสอบสังคมระดับหนึ่งว่าคุณมีอคติทางเพศหรือไม่หากมองเห็นการจูบระหว่างชายกับหญิงแล้วรู้สึกแบบหนึ่ง อาจจะยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ตาม แต่ถ้าเห็นชายจูบ กับ ชาย และ หญิงจูบ กับ หญิง

 

 

ความรู้สึกจะเหมือนกันหรือไม่ หากไม่แล้วสิ่งนี้คืออคติทางเพศหรือเปล่า เพราะมีเงื่อนไขทางเพศที่ยังไม่เท่าเทียมโดยมีผล กับ ความรู้สึกของผู้มอง ดังนั้นในบทนี้จึงตั้งคำถาม กับ การมอง และ การถูกมองในนัยของความเท่าเทียมเชิงการยอมรับอีกด้วย ดูหนังออนไลน์ 4k

 

Holding the Manจึงเป็นบทบันทึกที่บรรจุทั้งความรู้สึกส่วนตัว บริบทยุคสมัย และ แรงบันดาลใจของการเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมทางเพศที่น่าสนใจ หนังสือต้นฉบับยังได้รับการถ่ายทอดเป็นรูปแบบภาพยนตร์ในปี ค.ศ.2015 โดยได้รับการกำ กับ จาก นีล อาร์มฟีลด์ (Neil Armfield) จนออกมาเป็นภาพยนตร์รักละมุนละไมสุดซึ้ง และ มอบแรงบันดาลใจที่จะรักใครสักคนอย่างสุดหัวใจแบบตัวละครทั้งคู่

 

นอกจากนั้นในปีนี้ยังได้รับการตีพิมพ์ฉบับแปลภาษาไทยโดยใช้ชื่อว่า ในอ้อมกอดเขา แปลโดย วาริน นิลศิริสุข ผลงานของสำนักพิมพ์ BEAR Publishing ไม่ว่าจะทั้งการดัดแปลงสู่ภาพยนตร์ และ การตีพิมพ์สู่ภาษาอื่น ๆ ทำให้เห็นได้ว่าเรื่องราวนี้ยังคงเป็นบันทึกรักที่ทรงพลัง และ ยังน่าสนใจแม้ในยุคนี้ที่มนุษย์ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ไม่รู้กี่ฝ่าเท้า แต่คำถามสำคัญอย่าง

 

 

เมื่อไรความรักจะมีอิสระเพียงพอ และ หลุดพ้นค่านิยมทางสังคมโดยเฉพาะค่านิยมที่จำกัดสิทธิทางเพศ และ การมองว่าเรื่องแบบนี้ยังผิดปกติอยู่ตอนนี้ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ความก้าวหน้าทางความคิดจะไปสู่ยุคที่เพศไม่ใช่เงื่อนไขสำหรับความรัก และ สิทธิอื่น ๆ ในสังคมอีกต่อไป

 

หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยว กับ ชายรักชายโดยเป็นหนังของออสเตเรียที่ถุฏดัดแปลงมากจาก หนังสือบันทึกชีวิตของทิโมที คอนิเกรฟ ผู้เป็นนักแสดง นักเขียน และ นักกิจกรรมของออสเตรเลีย ซึ่งตีพิมพ์ออกมาในปี 1995 ไม่กี่เดือนหลังคอนิเกรฟ เสียชีวิตลง

 

หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวชีวิตรักของคอนิเกรฟ กับ หนุ่มนักรักบี้ จอห์น คาลีโอ ที่ทั้งคู่พบรักกันสมัยอยู่โรงเรียนคาธอลิกด้วยกันในยุค 70 และ ต่อมาใช้ชีวิตคู่ร่วมกันยาวนานถึง 15 ปี ซึ่งขณะนั้นก็ต้องต่อสู้ กับ โรคเอดส์ และ การไม่ยอมรับจากพ่อของทั้งสองฝ่ายซึ่งตัวอย่างหนังจะนำเสนอบางส่วนของเหตุการณ์เหล่านี้ให้ชมเพื่อยั่วความสนใจด้วยถึงหนังจะเต็มไปด้วย รีวิวหนัง 

 

 

ช่วงเวลาเคร่งเครียด อึดอัด กดดัน ผสมผสานไป กับ ความสัมพันธ์กันร้อนแรง และ โรแมนติกของ Tim กับ John แต่เรากลับชอบช่วงเวลาที่พวกเค้าใช้ กับ ตัวละครอื่นๆ มากกว่า ทั้งกลุ่มเพื่อนสมัยเรียนไฮสกูลของพวกเค้า ที่ไม่ได้รับได้ กับ ความสัมพันธ์นี้ไปซะหมด หรือสายสัมพันธ์ระหว่างพวกเค้า กับ พ่อแม่ของตัวเอง ชอบพ่อแม่ของ Tim มากๆ

 

(Guy Pearce รับบทเป็นพ่อที่หล่อมาก) นี่คือพ่อแม่ที่พยายามเข้าใจลูกถึงที่สุดในตัวตนทุกด้านของลูกจริงๆ ส่วนพ่อแม่ของ John ก็มอบพลังดราม่าเข้มข้นจนถึงฉากสุดท้ายเลยคบกันไปได้สักระยะแล้วมารู้ว่าเลือดเป็น POSITIVE กันทั้งคู่ แต่ก็ไม่เอามาเป็นประเด็นทะเลาะกันว่าใครเป็นคนแพร่ให้ใคร พวกเขายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น รักษา และ ใช้ชีวิตคู่กันต่อไปอย่างมี

 

ความสุข เหมือนทุกอย่างจะไปด้วยดีแต่วันหนึ่งก็มีเหตุให้พวกเขาต้องมีระยะห่างกัน แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเขาฝ่าฟันไปได้ ชีวิตคู่ของเขาโชกโชนสุด ๆ เรื่องเลวร้ายที่สุดก็เกิดขึ้น ในวันหนึ่งจอห์นล้มป่วยลงด้วยโรคอะไรหนังไม่ได้เล่าละเอียด แต่คาดว่าน่าจะมะเร็งเกย์ (AIDS/HIV) เป็นบทพิสูจน์รักแท้ที่หนัก และ ยิ่งใหญ่มาก ทุกคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า ‘ใครรักเราจริง ให้ดูตอนที่ลำบาก’ สามารถใช้ได้ กับ ตอนนี้ไม่มีผิด คอนนิเกรฟดูแลจอห์นเป็นอย่างดี ไม่ปล่อยให้เขาต้องเผชิญ กับ โรคร้ายเพียงลำพัง

จู่ ๆ วันหนึ่งคอนนิเกรฟก็ล้มป่วยตาม เขาไม่บอกให้จอห์นรู้ เก็บเรื่องนี้ไว้คนเดียว ดูแลตัวเองอย่างดีเพื่อที่จะได้ดูแลจอห์นให้หายป่วย แต่แล้วจอห์นก็สู้ไม่ไหว โรคร้ายเลยพรากชีวิตเขาไปอย่างไม่มีวันหวนคืน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *