รีวิว แค่นี้ ก็ดีแล้ว 2

รีวิว แค่นี้ ก็ดีแล้ว 2 เคยติดอยู่ในห้วงความสัมพันธ์ที่รู้ทั้งรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ผิดศีลธรรม เพราะเราอาจจะกำลังทำลายความสัมพันธ์ของคนอื่นอยู่ไหม? มันเป็นความสุขปนเศร้า เป็นความสุขที่เหมือนมีระเบิดเวลาติดอยู่ เพราะเรารู้ดีว่าเวลาแห่งความสุขมันจะอยู่กับเราอีกไม่นานหรอก แล้วเราก็เชื่อว่า “เต้ย” ใน Present Still Perfect “แค่นี้ก็ดีแล้ว 2” ดูหนังฟรี

ก็คงรู้สึกแบบเดียวกัน หลังจากภาคที่แล้ว เต้ย กับ โอ๊ต ตัดสินใจเดินทางแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตัวเอง โอ๊ตไปแต่งงานมีภรรยามีลูก ส่วนเต้ยก็ได้แต่จมอยู่กับความเจ็บช้ำ เวลาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนเต้ยก็ยังติดอยู่ในวังวนนั้น และแล้วโอ๊ตก็เดินกลับเข้ามาในชีวิตเค้าอีกครั้ง

รีวิว แค่นี้…ก็ดีแล้ว 2 (2020)

พอเงื่อนไขในการจับตัวละครให้มาใช้เวลาอยู่ด้วยกันในภาคนี้มันเปลี่ยนไป พร้อมกับอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เหมือนเดิม ทั้งบรรยากาศของสถานที่ มวลอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร ไปจนถึงตัวละครแวดล้อม เราก็เลยต้องใช้เวลาปรับจูนตัวเองอยู่พักนึงเหมือนกัน แต่แล้วเมื่อตัวละครโอ๊ตโผล่เข้ามาเท่านั้นแหละ ทุกอย่างก็มันก็ลงล็อก พอเหมาะพอดี แล้วทำให้เราปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเรื่องราว ความสัมพันธ์ สถานการณ์ และทุกการตัดสินใจของตัวละครได้เหมือนกับที่ภาคที่แล้วเคยทำได้เลยล่ะ

ต้องยกความดีความชอบให้กับการแสดงและเสนห์ของไอซ์ – อดิศร โทณะวณิก ในบทเต้ย และโจ๊ก – กฤษณะ มฤคสนธิ ในบทโอ๊ต ที่งดงามลงตัวและทำให้เราเชื่อในตัวละครได้มากขนาดนี้ สำหรับไอซ์ เสน่ห์ในการสร้างคาแร็คเตอร์เต้ยนั้นมีมาตั้งแต่ภาคแรกแล้ว และแม้ว่าในภาคนี้เหมือนเราจะเห็นแต่ด้านอ่อนแอแพ้พ่ายกับความรัก และดูเต้ยจะอ่อนไหวเปราะบางมากเหลือเกิน แต่ไอซ์ก็มอบการแสดงที่แสนจะเป็นธรรมชาติให้กับตัวละคร ชอบจังหวะและวิธีการแสดงของไอซ์มากๆ

รีวิว แค่นี้…ก็ดีแล้ว 2 (2020)

ส่วนโจ๊กที่มีวิธีการแสดงที่เป็นแพทเทิร์นกว่า ก็กลับมีมิติ มีชีวิตชีวา และทำให้เราเข้าใจความสับสนในตัวละครโอ๊ตได้ดีทีเดียว ยิ่งพอภาคนี้ตัวละครมันตกอยู่ในห้วงเสน่หาที่ทั้งอ่อนหวานและเร่าร้อน เคมีและพลังงานที่ทั้งคู่มอบให้กันมันก็เลยมากมายท่วมท้นกว่าภาคที่แล้วมาก รัก

Present Still Perfect “แค่นี้ก็ดีแล้ว 2” ไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์พร้อมในทุกด้านหรอก ยังมีบาดแผลจากสถานการณ์และบทพูดที่เหมือนยัดใส่ให้ตัวละครอยู่บ้างประปราย ไปจนถึงความอีหลักอีเหลื่อ ขาดๆ เกินๆ ในหลายๆ ฉาก แต่เราก็มองเห็นแหละว่า “อาม อนุสรณ์ สร้อยสงิม” ผู้กำกับ/เขียนบท ใส่เข้ามาทำไม …

รีวิว แค่นี้…ก็ดีแล้ว 2 (2020)

ความพยายามฉีกกรอบตัวละครที่คาดเดาได้ โดยเฉพาะประเด็นเกย์ที่ตัดสินใจไปแต่งงานมีครอบครัว, ภรรยาสาวกับทีท่าที่มีต่อสามีเกย์ หรือแม้แต่การพยายามพูดถึงกฎหมายเพื่อคนรักเพศเดียวกัน ที่อาจจะยังไม่ได้ลงล็อกหรือราบรื่นอะไรนัก แต่มันก็เป็นความพยายามทำอะไรใหม่ๆ หรือส่งเสียงอะไรบางอย่างออกไปให้สังคม ทั้งพวกเรา LGBT และผู้ชายผู้หญิงได้รับฟัง

เรื่องย่อ รีวิว แค่นี้ ก็ดีแล้ว 2

ย้อนกลับไปในปี 2015 Present Perfect (แค่นี้ก็ดีแล้ว) ถือเป็นหนัง LGBT เรื่องหนึ่งในปีนั้นที่จัดได้ว่า เป็นหนังนอกกระแสที่สามารถสร้างความสนใจให้กับคอหนังบ้านเราพอสมควร เพราะนอกจากจะยกระดับ “หนังเกย์ เอสพลานาด” (ชื่อเรียกกลุ่มหนังเกย์ที่สร้างโดยสตูดิโอเล็กๆและฉายในวงจำกัด ซึ่งมักจะเลือกโรงภาพยนตร์เอสพลานาดรัชดาเป็นโรงฉายหลัก) ให้เข้าถึงกลุ่มคนดูในวงกว้างขึ้น หนังเรื่องนี้ยังสามารถไปสร้างชื่อเสียงในเทศกาลหนังต่างๆทั่วโลกอีกด้วย

เหตุการณ์ใน Present Still Perfect ยังคงเล่าเรื่องราวของเต้ย (ไอซ์-อดิศร โทณะวณิก) และพี่โอ้ต (โจ๊ก-กฤษณะ มฤคสนธิ) กับช่วงเวลา 4 ปีให้หลัง ที่เต้ยยังคงช้ำรักและไม่อาจจะเริ่มต้นใหม่ เพราะหัวใจทั้งดวงเขายังคงรักรอพี่โอ้ตที่ตอนนี้แต่งงานมีครอบครัวและมีลูกไปแล้ว ดูหนังใหม่

ความกลัวจับขั้วหัวใจแต่ก็คิดถึงแทบใจสลาย เต้ยอยากจะส่งข้อความไปหาพี่โอ้ตหลายครั้งหลายหน แต่เขาก็ยังต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเองและถกเถียงกับสิ่งผิดชอบชั่วดี ว่าตัวเองจะกลายเป็นมือที่ 3 ที่ทำให้ครอบครัวของพี่โอ้ตล่มสลายแตกแยก และกลัวว่าลูกของเขาจะมองพ่อเปลี่ยนไป ถ้าหากเต้ยจะกลับไปรุกคืบความสัมพันธ์อีกครั้ง

ระหว่างที่หนีมาพักใจที่รีสอร์ทที่เกาะกูด เต้ยบังเอิญพลั้งมือกดสั่งข้อความไปหาพี่โอ้ตแบบไม่ได้ตั้งใจ เมื่อโลเคชั่นของเต้ยถูกเปิดเผยเช้าวันรุ่งขึ้นพี่โอ้ตก็มาหาเขาถึงรีสอร์ท และแม้ว่าตอนแรกเหมือนเต้ยจะพยายามไล่พี่โอ้ตกลับ แต่ท้ายที่สุดแล้วทั้งสองก็โหยหาและคิดถึงกันมากกว่าที่คิด ส่งผลให้ทั้งคู่เลือกจะใช้เวลาสั้นๆเพื่อทบทวนช่วงเวลาดีๆที่พวกเขาเคยมอบให้กันอีกครั้ง

แน่นอนว่า Present Still Perfect ยังคงพยายามสำรวจความสัมพันธ์ของสองตัวละครในโจทย์ที่ยากกว่าเดิม “เราสามารถรักคนที่มีเจ้าของแล้วได้หรือไม่” และ “เราจะยอมทิ้งความสัมพันธ์ตามธรรมเนียมประเพณีเพื่อคำว่ารักแท้ได้จริงหรือ” ซึ่งระหว่างที่หนังโยนคำถามใส่คนดู หนังก็ยังคงมอบห้วงอารมณ์แห่งความสุข ความทุกข์ของตัวละครให้กับผู้ชมได้ตามมาตรฐานภาค

แรก แม้อาจจะดรอปลงในเรื่องของความสดใหม่ ประกอบกับเรายังคงรู้สึกว่าเต้ยเองก็ยังดูเป็น “เด็กที่ยังไม่โต” ไปตามบริบทของเรื่องนัก อีกทั้งบทสรุปของเรื่องที่หนังพยายามวาดวิมานความฝัน ให้กลายเป็นนิยายรักเล่มละ 10 บาทในยุค 20 ปีก่อนก็แอบลดทอนความขลังของประเด็นในหนังภาคแรกไปอยู่ไม่น้อย

เป็นเรื่องราวหลังจาก 4 ปีของเรื่องราวระหว่างโอ๊ตและเต้ยที่จบลงแบบที่เต้ยยังคงสับสนและเกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับความรู้สึกระหว่างเขาและคนที่เขารัก แต่เมื่อโอ๊ตได้แต่งงาน ก็เป็นอันว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ดูจะต้องจบ จนเมื่อวันหนึ่งเขาได้บังเอิญไปเจอกันอีกครั้ง ความเจ็บปวดต่าง ๆ ก็ถาโถมเข้ามาเล่นงานเต้ยจนเขาต้องหนีไปรักษาใจที่เกาะ

และทำให้เขาได้เจอกับ เจน เจ้าของเกสต์เฮ้าส์ที่คอยให้คำปรึกษา และ เคนตะ หนุ่มญี่ปุ่นที่มาพักในเกสท์เฮ้าส์เช่นเดียวกับเขา และการที่โอ๊ต ได้ตามมาหา เต้ย ที่เกาะ พวกเขาก็จะต้องเจอกับบททดสอบศีลธรรมที่พวกเขาต้องตัดสินใจว่าจะทำตามใจของตัวเองหรือจะเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องกันแน่

ความน่าสนใจของหนัง รีวิว แค่นี้ ก็ดีแล้ว 2

การกลับมาในภาคต่อนี้ก็ถือว่าเราได้เห็นพัฒนาการในทุก ๆ ด้านจากภาคแรก ไม่ว่างจะเป็น เนื้อเรื่อง การกำกับ การแสดง ที่ล้วนแล้วแต่มีพัฒนาที่ก้าวหน้ามากขึ้นกว่าเดิม รวมไปถึงลำดับการเล่าเรื่องที่ลื่นไหล มีความเป็นเรื่องราวและประเด็นต่าง ๆ มากขึ้นกว่าเดิม มุมภาพต่างๆก็มีความสวยงาม

ในส่วนของเนื้อเรื่องที่ยังคงน่าประทับใจเหมือนเดิม ยังคงเป็นหนังที่ไม่ได้ทำมาเพื่อขายตามกระแส แต่กลับมีการเล่าประเด็นของทางสังคมอย่างตรงไปตรงมาและจับต้องได้ ไม่ได้หวือหวาหรือเน้นการขายฉากฟิน ๆ แบบหนังในปัจจุบัน แต่มีการสอดแทรกความคิด ความเป็นมนุษย์ที่ไม่ว่าเพศไหนก็สามารถเข้าถึงและตระหนักได้ถึงประเด็นนี้เป็นอย่างดี รีวิวหนัง

และที่น่าเสียดายของหนังเรื่องนี้ที่ไม่ได้มีการใช้ตัวละครเสริมที่อุตส่าห์นำมาเข้ามาในเนื้อเรื่องอย่างเต็มที่ ซึ่งตัวละครเสริมต่าง ๆ สามารถพาบทให้ไปได้ไกลกว่านี้ แต่ก็ถือว่าทำออกมาได้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ไม่ได้น่าผิดหวังอะไรในเรื่องของตัวละครเสริมที่มีบทบาทเข้ามาในเนื้อเรื่อง จึงถือได้ว่าการกลับมาในภาคนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าประทับใจที่มีการจับประเด็นและทดสอบจิตใจเกี่ยวกับบทสรุปของความรักของทั้งสองมากขึ้น

ความรู้สึกที่อัดอั้นตั้นใจของเต้ยเป็นเหมือนระเบิดเวลาที่รอคอยการปะทุออกมา เพราะความคาค้างใจและความคิดถึงวันวานได้ทำให้เขาพลั้งมือส่งข้อความตำหนิผู้ชายที่ไม่ได้ติดต่อกันมาสักพักแบบไม่ได้ตั้งใจ และเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้น การปรากฏตัวของโอ๊ตที่เกสท์เฮาส์บนเกาะ

กลางทะเลกลายเป็นภาพที่ทำให้เขาตกตะลึง ความรู้สึกเดิมๆ ที่เกือบจะทิ้งไปแล้วหวนกลับมาอีกครั้ง ทำให้เขาต้องเลือกระหว่าง ความเป็นจริง หรือ ทำตามใจปรารถนา แม้ว่าในท้ายที่สุด พวกเขาต้องลงเอยด้วยคำว่า “ความลาจาก” เหมือนกันทั้งสองทาง

ต้องยอมรับว่า Present Still Perfect กลับมาได้อย่างมีพัฒนาการที่ดีขึ้นในทุกๆ ด้าน เมื่อเปรียบเทียบกับหนังภาคแรก งานสร้างโปรดักชั่นต่างๆ ที่ละเอียดยิ่งขึ้น องค์ประกอบของบทหนังก็เพิ่มความกลมกล่อมลงไป ไดอะล็อกของตัวละครก็ดูไม่แข็งทื่อ ดูเด๋อด๋า และขัดใจอีกต่อไป ถือว่าภาคนี้ได้ปรับปรุงแก้ไขข้อเสียจากหนังต้นฉบับได้ค่อนข้างน่าพอใจ ถึงแม้จะยังไม่ได้สมบูรณ์เสียทีเดียว

“อาม-อนุสรณ์ สร้อยสงิม” ที่กลับมารับหน้าที่กำกับหนังเองอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเขาก็มีพัฒนาการมากยิ่งขึ้นเช่นกัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการฝึกมือและสั่งสมประสบการณ์จากงานกำกับซีรีส์วายและงานเบื้องหลังระหว่างที่เว้นห่างจากภาคต่อของหนังเรื่องนี้ ทำให้เขามีวิสัยทัศน์ในการถ่ายทอดหนังออกมาในมุมที่ได้อรรถรสและมีจังหวะจะโคนที่ขึ้นตามลำดับ

ในส่วนของนักแสดงนำ “ไอซ์ อดิศร” กับ “โจ๊ก กฤษณะ” ก็พัฒนาขึ้นเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ดาราเบอร์ใหญ่มีชื่อเสียงใดๆ แต่ก็มอบการแสดงที่ดูเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น พร้อมกับมีอินเนอร์เข้าถึงตัวละคร เต้ย กับ โอ๊ต ได้อย่างเข้าใจกว่าภาคแรกอย่างเห็นได้ชัด ทำให้การอยู่บนจอคู่กันของเขาทั้งสองคนดูลงตัวมากยิ่งขึ้น เพิ่มอรรถรถและบรรยากาศของหนังให้อิ่มเอมใจมากขึ้น

ถึงแม้ว่าหนังยังค่อนข้างมีปัญหากับบทหนังอยู่ก็ตาม โดยเฉพาะสัดส่วนของความสมเหตุสมผลที่ยังดูขาดๆ เกินๆ บางมุมก็ดูแฟนตาซีเกินไปเสียหน่อย แต่ก็ต้องยอมรับว่าหนังมีลำดับในการเล่าเรื่องที่ดีกว่าเดิม อีกทั้งยังดูมีเรื่องราวมากขึ้นกว่าเก่า พร้อมกับพยายามสอดแทรกประเด็นความแตกต่างระหว่างเพศกับสังคม รวมทั้งการยอมรับและเข้าใจของคนกลุ่มหนึ่งที่ต้องการจะมีจุดยืนในแบบของตัวเองเช่นกัน

น่าเสียดายที่ตัวละครสมทบอื่นๆ ที่หนังพยายามใส่เข้ามา ดูสะเปะสะปะไปสักหน่อย “เรียลตะ โอมิ” เป็นตัวละครหนุ่มญี่ปุ่นที่เข้ามาเสริม ที่ดูเหมือนจะมีอะไร แต่หนังกลับเมินใส่เขาไปเฉยๆ รวมทั้ง เจ้าของเกสท์เฮ้าท์ ก็ดูเหมือนว่าจะมีอะไร แต่กลับใส่เข้ามาเป็นตัวละครที่ดูขัดหูขัดตาไปหน่อย

แต่ถึงอย่างนั้น เคมีการแสดงระหว่าง 2 นักแสดงนำ ไอซ์ อดิศร กับ โจ๊ก กฤษณะ ก็ถือว่ามีอนุภาพเพียงพอที่จะทำให้หนังดูเป็นหนังรักที่มีความฟุ้งอบอวลไปตลอดทางระหว่างการเล่าเรื่อง ด้วยอินเนอร์ที่เข้าถึงคาแรกเตอร์ของพวกเขา ฉากพลอดรักและอินเลิฟต่างๆ ดูละมุนและกำลังอยู่ในระดับที่พอดี แม้จะมีฉากร่วมรักที่ค่อนข้างถึงพริกถึงขิง แต่ก็ไม่ได้ดูเชิงอนาจาร โดยเฉพาะฉาก ‘สอนว่ายน้ำ’ ต้องนับว่าเป็นฉากที่ตีโจทย์ออกมาได้ค่อนข้างดีอีกเรื่องของหนังไทยเลย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *