รีวิว Sweet & Sour (2021) รักหวานอมเปรี้ยว
เมื่อต้องเผชิญกับโอกาสและความท้าทายในโลกแห่งความเป็นจริง คู่รักหลายคู่ต้องเผชิญบททดสอบ ในการรักษาความสัมพันธ์เมื่อต้องอยู่ไกลกัน จนอาจจะเข้าทำนองรักแท้แพ้ระยะทางซะอย่างนั้น ซึ่งชีวิตก็มักจะมีบททดสอบมาวัดใจกัน เล่น ๆ แบบนี้แหละ และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นดราม่าคอมเมดี้ รักสามเส้า ที่ใช้บททดสอบนี้มาเป็นเส้นเรื่องได้ร้าย กาจไม่ใช่เล่น เว็บหนัง
เนื้อเรื่องเริ่มต้นที่การพบกันของคนไข้และผู้ช่วยพยาบาล จนเกิดเป็นความรักเข้าจนได้ ‘อีจางฮยอก’ (อีวูเจ) วิศวกรหุ่นอวบอั๋นที่เพิ่งได้งานหมาด ๆ เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยโรคไวรัสตับอักเสบB ระหว่างนั้น ‘ดาอึน’ (แชซูบิน) พยาบาลสาวได้ดูแลเขาเป็นอย่างดีจนเกิดความประทับใจ และแน่นอนเขาปิ๊งเธอเข้าเต็มเปา เพราะเธอช่างเฟรนด์ลี ขี้เล่น ดาอึนขอเรียกเขาว่า ‘พี่ฮยอก’ ซึ่งเขาก็ยินยอมด้วยความยินดี
ความรักครั้งนี้ทำให้ ‘เขา’ ตัดสินใจแล้วว่า จะลดความอ้วนและมีสุขภาพที่ดีเพื่อ ‘เธอ’ ให้ได้ ภาพยนตร์ทำให้เราเห็นว่า เขาทำได้จริง ๆ เมื่อรูปลักษณ์ภายนอกของเขาเปลี่ยนแปลงไปตามความตั้งใจ กลายเป็นหนุ่มหล่อ สุขภาพดี ไม่กินขนมหวาน ‘จางฮยอก’ (จางกียง) กลายเป็นวิศวกรอนาคตไกล ฝีมือโดดเด่นจนหัวหน้างานสนับสนุนให้ไปพิสูจน์ฝีมือที่บริษัทใหญ่ยักษ์ในกรุงโซล
ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้เขาและ ดาอึน แฟนสาวต้องอยู่ไกลกัน งานหนัก ๆ ในสภาพแวดล้อมใหม่ที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน แถมยังต้องห่างจากแฟนสาว ไม่มีเวลาเจอกันได้อย่างใจเหมือนเคย ซ้ำยังต้องมาเจอกับ ‘โบยอง’ (คริสตัล ช็อง) ผู้หญิงที่เป็นทั้งคู่แข่งและเพื่อนร่วมงานในเวลาเดียวกันอีก จนในที่สุดความรักที่ว่าแน่ก็ต้องแพ้…..ระยะทาง เว็บดูหนัง
ภาพยนตร์เรื่องนี้หยิบเอาความเป็นจริง ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับคู่รักหลายคู่ในโลกใบนี้ ‘รักแท้มักแพ้ระยะทาง’ ประโยคนี้สามารถใช้ได้ชะงัดนักกับใครบางคน บางคู่ที่หัวใจไม่มั่นพอ ก็ถ้ารักกันจริง มั่นคงหนักแน่นจะมีอะไรมาชนะความรักของเราได้ล่ะจริงไหม ระยะทางไกล ๆ กับงานเหนื่อย ๆ ที่ว่า จึงมักจะถูกหยิบเอามาเป็นข้ออ้างของมนุษย์รักแท้แพ้ใกล้ชิดอยู่บ่อย ๆ
เรื่องราวรักสามเส้าจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้า ‘เขา’ ไม่ปันใจ หนังจั่วหัวมาแล้วว่าเรื่องนี้เป็นหนังที่เกี่ยวกับรักสามเส้าเราสามคน ของหนุ่มสาววัยทำงานเคสหนึ่ง ที่เริ่มต้นความรักด้วยความประทับใจ หวานชื่น ละมุนละไมและชวนยิ้มเป็นที่สุด จนอาจจะเป็นกำลังใจให้ใครหลายคนลุกขึ้นมาดูแลตัวเองเพื่อคนที่คุณรัก จากการที่ เขา พยายามลดความอ้วนเพื่อ เธอ
หนังใช้การเปิดเผยความจริงที่ว่า โลกใบนี้ดำเนินไปด้วยการแข่งขัน โดยเฉพาะในสังคมของการทำงานที่ต้องการความมั่นคงก้าวหน้า ใครล่ะจะไม่อยากแอกทีฟ ใครล่ะจะไม่อยากพิสูจน์ตัวเองเพื่ออนาคตที่ดีขึ้น พระเอกของเรื่องนี้จึงทุ่มเทความสามารถเพื่อให้เขาเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับการยอมรับ และสาเหตุของการปันใจคือความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว และเอาความเหนื่อยเป็นข้ออ้างจนอาจหลงลืมไปว่า เขาไม่ใช่คนที่เหนื่อยเป็นอยู่คนเดียว เว็บดูหนังฟรี
เป็นการใช้พล็อตย่อยง่ายที่ทัชใจใครหลายคน เพราะเรื่องราวแบบนี้มักจะเป็นเหตุการณ์ที่คู่รักมากมายต้องเคยประสบ จะบอกว่าใช้พล็อตตลาดก็ตอบว่าใช่ แต่ที่ใช่มากกว่านั้นก็คือ พล็อตแบบนี้มันคือเรื่องจริง ถึงจะง่ายต่อการทำความเข้าใจ ง่ายต่อการรู้สึกร่วม แต่จะทำยังไงให้ความง่ายที่ว่ามันน่าสนใจและแปลกไปจากเรื่องอื่น ๆ ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำได้ด้วยการเล่ามันออกมาง่าย ๆ ได้ร้ายกาจทีเดียวละ
เนื้อเรื่องหนัง รีวิว Sweet & Sour (2021) รักหวานอมเปรี้ยว
ชอบตอนจบของเรื่องนี้มาก ๆ ให้ตายสิ เป็นการดำเนินเรื่องที่หลอกคนดูได้อย่างแยบยล หนังทำให้เราเข้าใจไปว่า นี่ก็คือเรื่องรักสามเส้าธรรมดา ๆ ที่สอดแทรกความเป็นจริงใบบริบทสังคมที่มีการแข่งขัน การเอารัดเอาเปรียบในที่ทำงาน การให้ความหวังและหลอกใช้เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ เว็บหนังฟรี
มีพระเอกหล่อ นางเอกน่ารักและสาวอีกคนช่างน่าสนใจซะจริง แบบนี้จะไม่หวั่นไหวก็ยากอยู่ แล้วไงอ่ะ เรื่องราวจะดำเนินไปด้วยสูตรสำเร็จหรือเปล่าที่ พระเอกกลับใจไปง้อนางเอก ต้องมีการเลือกยากและต้องมีคนผิดหวัง จะจบแบบสุขนิยมหรือทุกข์ระทม ก็ไม่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้โดดเด่นกว่าใครไปได้ต่อให้มีหนุ่มหล่ออย่าง ‘จางกียง’ และสาวสวยมากอย่าง ‘คริสตัล ช็อง’ แสดงนำก็เถอะ
แต่…มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นจ้ะเมื่อการดำเนินเรื่องมันมีจุดพีก ด้วยบทสรุปที่ทำให้คนดูอย่างเรา ๆ มารู้ตัวอีกทีว่า ที่นั่งดูมาทั้งหมดนั้น ‘โดนแกง’ ซดน้ำแกงกันเพลินไปเลยจ้ะงานนี้ ปมหลอก ๆ มีอยู่หลายมุมจนทำให้เราคิดไปเอง แถมยังคิดไปอีกว่ามีตัวละคร
ลึกลับที่แอบแฟนตาซีอยู่ในเรื่อง แต่จริง ๆ แล้วเขาคือตัวแทนของคนธรรมดาคนหนึ่งที่ผ่านโลกมามาก และมาเพื่อเตือนสติคู่รักด้วยประโยคที่จริงซะยิ่งกว่าจริงว่า “ถ้าพลาดรถแท็กซี่หนึ่งคัน เราอาจรอคันอื่นได้ แต่ถ้าหากว่าทำใครคนหนึ่งหลุดมือไป มันจะไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว” ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นดราม่า-คอมเมดี้ (เบา ๆ ) ที่มีสาระ ได้อรรถรส แปลกใหม่ ก็เพราะอีตอนสรุปจบนี่แหละ
ถ้าถามว่าดู Sweet and Sour (2021) รักหวานอมเปรี้ยว เพราะอะไร ก็คงจะตอบว่าดูเพราะไปอ่านรีวิวมาและทุกรีวิวก็พูดตรงกันว่าหนังเรื่องนี้ “แกง” คนดู หรือ “ต้มซะเปื่อย” เลยคิดว่าช่วงนี้เบื่อ ๆ พอดี ดูเรื่องนี้จบอาจทำให้หายเซ็งได้บ้าง ปรากฏว่า
พอดูจบก็รู้สึกเซ็งกว่าเดิมเพราะพล็อตมันไปเรื่อย ๆ ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้น คนดูได้แต่นั่งลุ้นว่าความสัมพันธ์ที่ดูยุ่งเหยิงนี้จะเป็นอย่างไรต่อ ส่วนตัวรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ให้ครบทุกความรู้สึก ทั้งความรู้สึกอบอุ่นใจและตื่นเต้นเหมือนการพบรักแรก ความรู้สึกเบื่อ
บทสรุปหนัง รีวิว Sweet & Sour (2021) รักหวานอมเปรี้ยว
กับปัญหาที่แก้ไม่จบไม่สิ้น อีกทั้งยังรู้สึกกลุ้มใจตามโบยอง และการตัดสินใจของตัวละครบางครั้งก็ทำให้รู้สึกอิหยังวะเป็นอย่างมาก เพราะแทนที่จะแก้ปัญหาดี ๆ กลับไปทำให้มันยุ่งเหยิงขึ้นกว่าเดิม ส่วนตัวมองว่าหนังเรื่องนี้ครบรสในเรื่องของความสัมพันธ์แบบแฟน มีทั้งช่วงที่รักกันดี อะไรก็ดีไปหมด มีทั้งช่วงที่ทั้งคู่รู้สึกหมดไฟในความสัมพันธ์ เปิดเผยนิสัยในด้านแย่ ๆ และลืมที่จะแคร์ความรู้สึกของกันและกัน จนทำให้ทุกอย่างแย่ลงเรื่อย ๆ เพราะ รีวิวหนัง
ความรู้สึกที่เสียไป มันเอากลับมาไม่ได้ หากใครได้ดูเรื่องนี้ก็คงเข้าใจในจุดนี้ดีว่าการที่ความสัมพันธ์จะเดินต่อได้นั้นต้องอาศัยความเอาใจใส่ เสมอต้นเสมอปลาย พยายามปรับและเคลียร์ปัญหานั้น ๆ ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ทำง่าย แต่ด้วยนิสัยและทิฐิที่มีอยู่ในตัวของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ทำให้ปัญหายิ่งขมวดปมและไม่รู้เลยว่าถ้าจะแก้ปมต้องเริ่มจากตรงไหน
สิ่งหนึ่งที่ชอบในภาพยนตร์เรื่อง Sweet and Sour (2021) คือการนำตัวละครเอกที่เป็นคนร้าย ๆ มาเจอกัน ทั้งนางเอกและทั้งพระเอก ก็ถือว่าเป็นคนที่ศีลเสมอกัน ในขณะที่คนหนึ่งเริ่มสร้างโลกอีกใบเพราะความรู้สึกน้อยใจที่นางเอกมองว่าตนไม่รัก ไม่แคร์ และเป็นฝ่ายผิด ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มองในมุมนางเอกเลยว่าหลาย ๆ อย่างมันเปลี่ยนไป พระเอกเองก็ไม่ได้แคร์อย่างที่พูดขนาดนั้น ในด้านของนางเอก เธอก็เป็นคนที่ปากไม่ตรงกับใจ อยากได้อะไรก็จะพูดตรงกันข้าม (ในส่วนนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะ
ฮอร์โมนหรือนิสัยจริง ๆ) และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์นี้มันยุ่งเหยิง ถ้าถามว่าใครผิดก็คงจะต้องตอบทั้งผิดและไม่ผิดทั้งคู่ หากผิดก็คงเป็นเพราะการที่ไม่ได้ปรับความเข้าใจกันแต่แรก หากไม่ผิดก็เป็นเพราะทั้งคู่อาจรู้สึกว่าอยากจบความสัมพันธ์นี้
คนเรานั้นบางครั้งก็ต้องการแค่ใครซักคนที่ทำให้เรารู้สึกว่ามีเซฟโซนและพึ่งพาได้ ไม่ว่าจะมาในรูปแบบความสัมพันธ์ครอบครัว คนรัก สัตว์เลี้ยง หรือเพื่อน แต่ความต้องการที่จะมีใครซักคนโดยที่ต้องการเป็นฝ่ายรับอย่างเดียวเป็นสิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ที่ มีเป็นความสัมพันธ์แบบ toxic relationship ซึ่งความสัมพันธ์ที่ดีนั้นทั้งสองฝ่ายควรที่จะเป็นทั้งฝ่ายรับและฝ่ายให้ ซึ่งความสัมพันธ์ในเรื่อง Sweet and Sour (2021) เป็นความสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายต่างพยายามประคับประคองความสัมพันธ์ แต่
หลาย ๆ อย่างที่เป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำร้ายความรู้สึกกันและกัน เช่น การที่อีจางฮยอกไม่เอาขยะไปทิ้งหรือเปลี่ยนหลอดไฟให้จองดาอึน การที่อีจางฮยอกกลับบ้านแล้วนอนอย่างเดียวเวลาไปเที่ยวด้วยกันก็ค่อนข้างเร่งรีบเพราะเหนื่อยจากงานทำให้
ละเลยที่จะพูดคุยและเอาใจใส่จองดาอึน จองดาอึนเองก็พยายามเข้าใจแต่ก็อดที่จะน้อยใจไม่ได้และสุดท้ายก็เก็บมาน้อยใจคนเดียวและจองดาอึนเองก็ไม่ลองทำสิ่งที่อีจางฮยอกทำให้ พยายามทำความเข้าใจว่าต่างคนต่างเหนื่อย จุดแตกหักของทั้งคู่คือ
ตอนที่อีจางฮยอกเรียกชื่อจองดาอึนเป็น “โบยอง” ผู้หญิงในที่ทำงาน ทำให้จองดาอึนเข้าใจผิดว่าอีจางฮยอกนอกใจ (ซึ่งก่อนหน้านี้การกระทำก็เข้าข่าย มีการโกหกและการไม่บอกโบยองให้ชัดเจนว่าตัวเองมีแฟนแล้ว) แล้วอีจางฮยอกก็ไปนอกใจจริง ๆ
กับโบยองโดยที่โบยองไม่ได้รู้เรื่องด้วย ในช่วงนี้รู้สึกขัดใจในนิสัยเป็นอย่างมากเพราะในขณะที่จองดาอึนท้องอยู่ แต่อีจางฮยอกก็ดูไม่ยินดียินร้ายและใส่ใจความรู้สึกของคนรักมากนัก จนสุดท้ายเขาก็ต้องเสียใจนภายหลังและเงิบไปพร้อมกับคนดูเมื่อพบว่าจองดาอึนมีคนใหม่เรียบร้อยแล้ว
จะเห็นได้ว่าทั้งคู่นั้น ต่างคนต่างค่อย ๆ ออกห่างจากความสัมพันธ์นี้ไปเรื่อย ๆ ถึงแม้ในตอนท้ายอีจางฮยอกคิดได้ว่าเขาควรรักษาจองดาอึนไว้ แต่นั่นก็สายไปแล้ว จองดาอึนได้รู้จักและคบกับจางฮยอก (คนใหม่) ซึ่งเข้ามาดามใจในขณะที่เธอทะเลาะ
กับอีจางฮยอก โดยที่ไม่มีใครรู้ แถมยังเปลี่ยนชื่อไฟลท์บินจากอีจางฮยอกเป็นจางฮยอกด้วย (พอเรื่องเฉลยก็ได้แต่คิดว่าจองดาอึนก็แอบร้ายเหมือนกัน) สุดท้ายอีจางฮยอกก็ได้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงที่บริษัทอีกครั้งและได้ทำการสวมแหวน (ที่เคยเป็นของจอง
ดาอึน) ให้กับโบยองอย่างลุกลี้ลุกลน ซึ่งสามารถสื่อได้ว่าเขาต้องการรักษาโบยองไว้เพราะเขาเสียจองดาอึนไปแล้ว แต่โบยองก็งงและบอกกับอีจางฮยอกว่า “เรายังไม่ได้ไปถึงขั้นซักหน่อย” ส่วนตัวรู้สึกชอบและขำกับฉากนี้มาก รู้สึกว่ามันเรียลได้ใจจริง ๆ
อีกอย่างหนึ่งคือการสับขาหลอกของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่หากใครไม่สังเกตหรือคิดมากจริง ๆ ก็อาจจะโดนต้มได้ เช่น การแบ่งพาร์ทของหนังเป็นรองเท้าคู่ใหม่กับรองเท้าคู่เก่า ชื่อของตัวเอกที่เรียกเหมือนกัน (แต่มีจุดแตกต่างกันอยู่) การเรียกชื่อฮยอกของจองดาอึนที่เรียกทันทีหลังจากรับโทรศัพท์ทั้ง ๆ ที่เป็นเบอร์ไม่รู้จัก เป็นต้น โดยประโยคที่ชอบที่สุดจาก Sweet and Sour (2021) คือ
“นี่ฉันพลาดตรงไหนไปนะ” ซึ่งอีจางฮยอกได้กล่าวขึ้นหลังจากที่พบว่าจองดาอึนคบกับคนใหม่ และภาพแฟลชแบ็ค (Flash back) เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อีจางฮยอกได้ทำให้จองดาอึนเสียใจทั้งเรื่องใหญ่ เรื่องเล็ก เรื่องน้อย ก็ปรากฏขึ้น แต่เมื่อย้อนกลับไป เรื่อย ๆ ก็พบว่าต้นเหตุที่เขาคิดว่าทำให้เขาต้องเลิกกับจองดาอึนนั้นคือ หัวหน้าที่ต้องการให้เขาไปทำงานที่บริษัทใหม่ชั่วคราว ซึ่งก็ขำดีที่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้รู้สาเหตุจริง ๆ ที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับจองดาอึนต้องจบลง