รีวิว Time Freak
รีวิว Time Freak เรื่องย่อ
หลังถูกบอกเลิกจากแฟนสาว สติลแมน ( อาซา บัตเตอร์ฟิลด์ ) เลือกใช้ความรู้วิชาฟิสิกส์ของตนสร้างไทม์แมชชีนย้อนเวลาเพื่อแก้ไขและรักษาความสัมพันธ์ของเขากับ เดบบี้ (โซเฟีย เทอร์เนอร์) ให้กลับมาดีดังเดิม และเพื่อให้มีเพื่อนคู่คิดเขาจึงหนีบ อีแวน ( สกายเลอร์ กีซอนโด ) หนุ่มสายเขียวย้อนเวลาไปในอดีตที่เขาเคยทำผิดกับ เดบบี้ ไว้ โดยไม่อาจรู้ได้เลยว่า ไทม์แมชชีน ฉบับ “สติลแมนประดิษฐ์” จะไว้ใจได้แค่ไหนดูหนังออนไลน์ ดูหนังฟรี
สติลแมน นักศึกษาฟิสิกส์และอัจฉริยะ ถูกแฟนสาวทิ้งและพยายามค้นหาสาเหตุที่ทำให้เธอไม่มีความสุขและการเลิกรา สติลแมนและอีวานเพื่อนสนิทของเขามองดูความสัมพันธ์ของพวกเขาและจัดเรียงวันต่างๆ ให้เป็นความทรงจำที่มีความสุขและเลวร้าย ซึ่งอาจทำให้เด็บบี้เลิกกับสติลแมนได้ รีวิวหนังรักดราม่า
ท่ามกลางการล่มสลายของสติลแมน ในที่สุดก็ค้นพบวิธีสร้างไทม์แมชชีน สติลแมนและอีวานเดินทางย้อนเวลากลับไปในวันที่สติลแมนและเด็บบี้พบกัน สติลแมนวางแผนที่จะทำสิ่งที่แตกต่างออกไปและจะรู้ว่าแผนใช้ได้ผลหรือไม่หากข้อความสุดท้ายที่เด็บบี้ส่งหายไป จากนั้นอีวานและสติลแมนก็เดินทางไปดูหนังกับอีวาน สติลแมน เด็บบี้ คาร์ลี และไรอัน สติลแมนแสดงภาพยนตร์เรื่องโปรดของพวกเขา แต่พวกเขาไม่ชื่นชมและล้อเลียนภาพยนตร์เรื่องนี้ สติลแมนอารมณ์เสียและดูถูกคาร์ลี พวกเขาย้อนเวลากลับไปซ้ำแล้วซ้ำอีกเมื่อสถานการณ์ผิดพลาด ในที่สุด สติลแมนก็จัดการกับสถานการณ์ในแบบที่เขาต้องการโดยที่เด็บบี้มองมาที่เขาด้วยความรัก ต่อมาพวกเขานั่งอยู่ที่บ้านของ Evan ซึ่ง Evan พยายามจะฝากข้อความถึงตัวเขาในอนาคตเพื่อที่เขาจะได้ไม่หลุดลอยไปและเขาสามารถจบการศึกษาได้
พวกเขาไปที่อื่นในอาคารที่คาดว่าจะมีงานเลี้ยง อีวานขึ้นลิฟต์ ขณะที่เด็บบี้กับสติลแมนขึ้นบันไดขึ้นไปบนหลังคา แต่ไม่มีงานเลี้ยงและไม่มีใครอื่น ประตูปิดอยู่ข้างหลังพวกเขาและพวกเขาถูกล็อค เด็บบี้เริ่มตื่นตระหนก แต่สติลแมนปลดล็อคประตูอย่างง่ายดาย ทิ้งให้เด็บบี้ประทับใจ
สติลแมนหวนคิดถึงช่วงเวลานั้นครั้งแล้วครั้งเล่าและพวกเขากลับมาทบทวนอีกหลายครั้งเพื่อพยายามหยุดการเลิกรา อีวานพบหญิงสาวคนหนึ่งและเครื่องจักรหยุดนิ่งทำให้ทั้งสองติดอยู่ ต่อมา สติลแมนยอมรับกับเด็บบี้ว่าเขาไม่ชอบไรอัน
ไทม์แมชชีนได้รับการแก้ไขในที่สุด แต่อนุญาตให้เดินทางข้ามเวลาไปข้างหน้าเท่านั้น ดังนั้นสติลแมนจึงต้องทำให้ทุกอย่างถูกต้อง สติลแมนและเด็บบี้ไปงานปาร์ตี้ที่แคมป์ซึ่งสติลแมนสามารถทำให้เด็บบี้มีความสุขได้ วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้น สติลแมนพบว่าข้อความนั้นหายไปและเด็บบี้ไม่เลิกกับเขาอีกต่อไป อีวานและสติลแมนกลับมา ณ เวลาปัจจุบัน
สติลแมนโทรหาเด็บบี้และไปที่อพาร์ตเมนต์ของเธอที่พวกเขามีเพศสัมพันธ์ พวกเขาวางแผนอาหารค่ำวันเกิดให้สติลแมน เด็บบี้มาทานอาหารเย็นสายกว่าหนึ่งชั่วโมง และโต๊ะของพวกเขาถูกแจกเมื่อสติลแมนอารมณ์เสีย พวกเขาแต่งหน้าและไปที่ร้านวาฟเฟิล สติลแมนรู้สึกแย่ที่ต้องโมโหทั้งๆ ที่มันเป็นความผิดของเธอ อีวานไม่พอใจกับการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ที่เข้ามาในชีวิตเขา ต่อมา Debbie ส่งข้อความถึง Stilman ว่าพวกเขาควรจะคุยกันอีกครั้ง สติลแมนเริ่มทำงานบนไทม์แมชชีนอีกครั้ง
สองปีต่อมา Debbie และ Stilman แต่งงานและรับประทานอาหารเย็นกับเพื่อน ๆ รวมทั้ง Evan และแฟนสาวคนใหม่ของเขา เด็บบี้เตรียมการบันทึกเสียงสำหรับอัลบั้มใหม่ เธอเปิดเผยว่าเธอไม่ได้สนใจอัลบั้มนี้จริงๆ และมีแนวโน้มน้อยที่จะเป็นนักดนตรี เด็บบี้เล่าถึงความจริงที่ว่าพวกเขาไม่เคยต่อสู้หรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งใดๆ
สติลแมนเห็นอีวานเกี่ยวกับการเสพติดการใช้เครื่องจักร และทำให้ชีวิตของพวกเขาสมบูรณ์แบบเกินไปและทำให้เด็บบี้ไม่มีความสุข
เด็บบี้แนะนำให้มีลูกเพื่อมีความสุขอีกครั้ง ในตอนเช้า เขาจูบเด็บบี้ แล้วอีวานก็มาขอให้เขาไม่ทำลายไทม์แมชชีน Evan เปิดเผยว่าเขาใช้บ่อยและ Stilman ล็อกเขาไว้ แต่ Debbie ยอมให้เขาเข้ามาอีกครั้ง พวกเขาทั้งคู่ต่อสู้กันเองและเด็บบี้อารมณ์เสียเมื่อเธอพบไทม์แมชชีน สติลแมนอธิบายว่าเขาจะทำอะไรและอีวานก็กระโดดเข้ามา พวกเขาย้อนกลับไปในวันแรกที่เด็บบี้กับสติลแมนพบกัน และอีวานก็ไล่ตามเขาด้วยรถของเขาเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะคิดทฤษฎีบทสำหรับไทม์แมชชีน สติลแมนเปิดเผยว่าพวกเขาไม่สามารถย้อนกลับได้เนื่องจากโทรศัพท์ของเขาไม่ได้ต่อสาย สติลแมนจูบเด็บบี้แล้วเริ่มทิ้งเธอ จิตสำนึกของเธอจากอนาคตกลับมาและพวกเขาก็เริ่มโต้เถียงกันแต่สุดท้ายก็คืนดีกัน
ความรู้สึกหลังดู
จุดสำคัญที่จะทำให้หนังโรแมนติกเป็นที่น่าจดจำคงหนีไม่พ้นนักแสดงนำของเรื่อง สำหรับ Time Freak แม้การเลือกนักแสดงหน้าตาดีมาเล่นก็ไม่อาจทำให้เรา อิน กับเรื่องราวได้เลย อาซ่า บัตเตอร์ฟิลด์ ไม่อาจทำให้เราเชื่อได้ว่าเขาคือเนิร์ดฟิสิกส์ที่เก่งพอจะสร้างไทม์แมชชีน และยิ่งไปกว่านั้นสรีระแบบหนุ่มตัวเล็กยังเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งเมื่อเข้าฉากกับ โซเฟีย เทอร์เนอร์ ยิ่งช่างแต่งหน้าแต่ง อาซา ได้สำอางเกินเหตุ ถ้าดูไม่เป็นคนแคระก็น้องชายนางเอกมากกว่า ส่วนโซเฟีย เทอร์เนอร์ นางก็เหมือนทะเลาะกับช่างแต่งหน้าหรือฝ่ายคอสตูมก็ไม่ทราบ เพราะไม่มีองค์ประกอบไหนที่เอื้อให้เราเห็นเธอเป็นสาวในฝันของพระเอกได้เลย บางช็อตก็ดูเป็นสาวบวมไทรอยด์ บางช็อตก็เหมือนแพ้เครื่องสำอาง ยิ่งประกอบกับอาซานี่ยิ่งเหมือนพี่เลี้ยงเด็กมากกว่าคนรักเข้าไปอี๊ก ส่วน สกายเลอร์ กีซอนโด แม้หนังจะวางบทให้เป็นเพื่อนตลกๆและมีมุกที่เวิร์คอยู่บ้างก็แต่ยังห่างไกลบทเพื่อนบ้านปอดแหกในซีรีส์ Santa Clarita’s Diet อยู่หลายขุม
ถือเป็นอีกหนึ่งบทเรียนสำหรับการขยายเรื่องราวจากหนังสั้นสู่หนังใหญ่ เพราะถ้านำมาขยายแล้วไม่สามารถหา “ทางลง” ให้ดีพอหนังก็คงออกมาวนเวียนกับซีนคลีเช่และการตัดจบฮ้วนๆแบบเดียวกับ Time Freak เรื่องนี้แน่นอน
หนังเล่นกับประเด็นง่ายๆ พร้อมคอนเซ็ปสุดเชย ที่ถูกเล่าผ่านหนังมาแล้วหลายต่อหลายเรื่องอย่างประเด็น “ย้อนเวลา” เพื่อแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในอดีต และเรื่องนี้มันมากับ “สิ่งที่หัวใจแตกสลายทุกดวงต้องการโอกาสแก้ตัว” นั่นคือย้อนเวลาเพื่อไม่ให้เสียคนที่เรารักไป
Time Freak ว่าด้วยเรื่องของ Stillman เด็กหนุ่มสุดอัจฉริยะที่เพิ่งโดนแฟนสาว Debbie หักอก แต่ประเด็นคือเขาไม่อยากเลิก เขาจึงสร้างเครื่องย้อนเวลาเพื่อไปแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในอดีตที่เกิดขึ้นกับชีวิตคู่ของเขา โดยมีเพื่อนเขา Evan คอยสนับสนุนการกระทำอันสุดฉลาดล้ำในครั้งนี้
แน่นอนว่าทั้งโปสเตอร์ ตัวอย่าง เรื่องย่อ ทุกอย่างมันดูเช๊ยเชย กับเรื่องราว ย้อนเวลาเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดในอดีต บอกตรงๆ ว่าความรู้สึกแรกว่ามันคือหนังรอมคอมดาดๆ เห่ยๆ ธรรมดาๆ แต่พอดูจบแล้วมันดีกว่าที่คิดไว้เยอะเลย ทั้งเนื้อเรื่อง บท นักแสดง เป็นหนังรักเดินทางข้ามเวลาที่สนุก!!!
ตามมาด้วยเรื่องการแสดง ต้องบอกว่านักแสดงนำทั้งสามทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีถึงดีที่สุด โดยเฉพาะตัวพระเอกอย่าง Stillman (ที่แน่นอนว่าชื่อของเขาต้องจงใจล้อกับคอนเซ็ปย้อนเวลาในหนังแบบฮาๆ) ที่แสดงออกมาได้ดีเกินคาด โคตรจะธรรมชาติ รับบทโดย Asa Butterfield ตั้งแต่ในเรื่อง Enders Game และ A Space Betwenn us และ พ่วงด้วยเพื่อนพระเอกตัวโคตรจะแย่งซีน Evan รับบทโดย Skyler Gisondo ที่ทำให้หนังมีสีสันมากๆ ดูสองคนนี้เขาสนิทกันจริงๆ และบทของตัวละครนี้เรียกได้ว่าทำให้หนังมีเสียงหัวเราะอยู่เนืองๆ เลย เรียกได้ว่าโผล่มาฉากไหน ฉากนั้นมีฮาแน่นอน ถ้าหนังขาดตัวละครนี้ไป หนังมันจะกร่อยกว่านี้เยอะ แต่ประเด็นคือตัวละครนางเอกอย่าง Debbie ที่รับบทโดย Sophie Turner จาก Games of Thrones รู้สึกจะเคมีไม่เข้ากันกับพระเอกเท่าไหร่ การแสดงก็ไม่ได้โดดเด่น และธรรมดามาก แถมเธอยังดูแก่ไป ไม่เหมาะกับบทคู่รัก แต่มันดันไปเหมือนพี่สาวซะมากกว่า (ทั้งๆ ที่พระ-นาง อายุห่างกันแค่ปีเดียวเองนะ 555)
ถ้าคุณคิดว่ามันคือหนังรอมคอม รักข้ามเวลาธรรมดาบอกเลยว่าคุณคิดผิด เพราะนี่ไม่ใช่เนื้อหารักใสๆ กุ๊กกิ๊ก แต่อย่างใด ประเด็นมันลึกกว่านั้น มันฝากทั้งข้อคิดดีๆ ในเรื่องราวการใช้ชีวิต ความรัก ความสัมพันธ์ และชีวิตคู่ได้อย่างลงตัว กลมกล่อม อีกทั้งตอนจบยังทำออกมาได้ยอดเยี่ยม แบบน่าประทับใจกับประเด็นของเรื่องนี้สุดๆ (ชอบฉากก่อนจะจบมาก ฮาแบบตัวโยนเลย เผลอก๊ากออกมาด้วย)
ชอบกิมมิคเล็กๆ ของการย้อนเวลา ที่ทำให้เกิดภาพจำกับคนดูด้วยการ ทำท่าเจ็บปวด และภาพซ้ำๆ ให้เห็นถึงการย้อนเวลา ถือว่าเป็นสิ่งที่ฉลาดมาก เพราะหนังจะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาเล่าและทำให้ลำบากแฟนตาซีกับฉากย้อนเวลามากเท่าไหร่
แต่ข้อเสียของหนังเรื่องนี้คือ Butterfly Effect ที่เราจะเห็นได้ในหนังย้อนเวลาหลายๆ เรื่อง ว่าถ้าเราเปลี่ยนแปลงอะไรในอดีต มันก็จะส่งผลกับปัจจุบัน ซึ่งในเรื่องนี้มันก็มีแหละ เพียงแต่มันส่งผลกับตัวละครหลัก 3 ตัวเท่านั้น เลยทำให้หนังน่าเสียดายที่ไม่เล่นประเด็นนี้ให้หนักกว่านี้ และด้วยความที่เป็นหนังย้อน-ข้ามเวลา มันจึงสามารถยืดหยุ่นเนื้อหาออกไปได้อีกมากมาย จึงทำให้มันเป็นจุดอ่อน ที่หลายต่อหลายครั้ง มันเหมือนจะจบและ แต่มันก็ยังไม่จบสักที เลยทำให้กระชากอารมณ์คนดูนิดหน่อย แต่มันก็แค่นิดเดียว หนังมันยังรักษามาตรฐานตัวเองไว้ได้ ด้วยเนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่องที่น่าติดตาม
นักแสดง
Asa Butterfield รับบทเป็น Stillman
โซฟี เทิร์นเนอร์ รับบท เด็บบี้
Skyler Gisondo รับบทเป็น Evan
วิล เพลทซ์ รับบท ไรอัน
Aubrey Reynolds รับบทเป็น Blue Ribbons
แมรี่ เอลิซาเบธ บอยแลน รับบท โซเฟีย