รีวิว Happiest Season (2020) ไม่มีฤดูไหนไม่รักเธอ
สุดสัปดาห์นี้เรายังมีหนังครอบครัวฟีลดีๆ มาให้ดูกันอีกเรื่อง และยังเป็นหนังที่มีมอบความกลมกล่อมเกี่ยวกับประเด็นความรักของเพศที่สามได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือ “Happiest Season ไม่มีฤดูไหนไม่รักเธอ” ที่แม้จะเป็นหนังที่เหมาะกับการดูตอนช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่มากกว่า แต่พอจะใกล้วันวาเลนไทน์แบบนี้…ก็ยังพอได้อยู่นะ แม้ว่าหนังจะไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่สักเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าจับเส้นเรื่องออกมาได้น่าสนใจ และเล่นกับอารมณ์ความรู้สึกในการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเองได้เป็นอย่างดี ดูหนังฟรี
เรื่องราวใน Happiest Season ได้โฟกัสที่ความรักระหว่าง แอบบี้ กับ ฮาร์เบอร์ ทั้งคู่ได้คบหาและใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาสักระยะ แต่ในช่วงเทศกาลวันคริสต์มาสที่จะถึงนี้ ฮาร์เปอร์ได้พาแอบบี้ไปพบกับครอบครัวของเธอเป็นครั้งแรก ในขณะที่แอบบี้ก็เตรียมทำเซอร์ไพรส์ด้วยการขอเธอแต่งงาน ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความสุขทั้งครอบครัว ฟังดูแล้วก็ดูน่าจะแฮปปี้เอนดิ้งเป็นอย่างดี
แต่…ทุกอย่างกลับไม่ใช่ที่คิด เพราะว่า ฮาร์เปอร์ ไม่เคยเอ่ยปากเกี่ยวกับรสนิยมและชีวิตรักส่วนตัวของเธอกับให้ที่บ้านได้ทราบมาก่อน ทำให้กลายเป็นบททดสอบความสัมพันธ์ที่ท้าทายระหว่าง แอบบี้ กับ ฮาร์เปอร์ เพราะเธอจะกล้าเอ่ยปากบอกความจริงกับพ่อแม่ให้ได้รู้หรือไม่ หรือจะทำทุกอย่างพังลงไปกับมือ นี่คือทางแยกที่แสนจะสับสนและว้าวุ่นไปทั้งเทศกาลวันหยุดปีนี้
ก่อนหน้านี้ต้องบอกว่านี่เป็นหนังครอบครัวสไตล์คริสต์มาสที่มีโทนว่าคลีเช่อยู่พอสมควร แต่กลายเป็นความซ้ำซากแบบที่คิดถึง เพราะในยุคนี้แทบไม่มีใครสร้างหนังทำนองนี้กันออกมาสักเท่าไหร่แล้ว ภาพความชุลมุนวุ่นวายของครอบครัวในช่วงเทศกาลที่ทุกคนต่างกลับบ้านไปพบเจอกันท่ามกลางความสุขเช่นนี้ แต่หนังเรื่องนี้กลับใส่ประเด็นที่น่าสนใจเอาไว้ เพิ่มความโดดเด่นเข้าไปอีก นั่นก็คือการ Coming Out กับครอบครัวนั่นเอง
ผู้กำกับหญิงคนเก่ง “เคลีย ดูวัล” รับหน้าที่แทบจะทุกอย่างในหนังเรื่องนี้ เธอออกแบบโครงเรื่องและเขียนบทหนังเองด้วย ทำให้ในไดอะล็อกสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและความรักที่อบอวลอยู่เต็มไปหมด แม้ว่าบทหนังจะไม่ได้มีชั้นเชิงที่มากมายนั้น แต่ก็มีความท้าทายกับการนำเสนอและเล่าเรื่องไปทิศทางใด เอาเป็นคนดูน่าจะพอเดาๆ ทางออกได้อยู่ แต่จุดประสงค์หลักของเรื่องก็สามารถทำได้ถึงและสัมผัสตรงถึงคนดูได้ไม่ยาก
การแสดงในเรื่องนี้ของ “คริสเตน สจ๊วต” ออกมาดูง่ายมากสำหรับเธอ ด้วยทักษะแอคติ้งที่มีความเป็นธรรมชาติอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเธออยู่ เมื่อมาอยู่ในหนังเรื่องนี้กับขับเสน่ห์ของตัวละครออกมาได้เป็นอย่างดี ดูเหมือนเธอแทบจะไม่ได้พยายามอะไรมาก เพราะบทก็เหมือนจะส่งเสริมคาแรกเตอร์ที่เธอได้รับเป็นอย่างดีอยู่แล้ว
ในขณะที่ “แมคเคนซีย์ เดวิส” ก็เป็นนักแสดงอีกคนที่ให้ความหลากหลายทางการแสดงได้ดีมากๆ และเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าจะไม่ได้มีจังหวะได้แสดงอารมณ์ออกมาสักเท่าไหร่ แต่เธอทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี นักแสดงสมทบคนอื่นๆ อย่าง “แมรี สตีนเบอร์เกน”, “วิคเตอร์ การ์เบอร์” หรือ “แดน เลวี่” ต่างก็มาช่วยเกื้อหนุนหนังเรื่องนี้ให้ดูเพลินไปตลอดรอดฝั่ง
เรื่องย่อ รีวิว Happiest Season (2020) ไม่มีฤดูไหนไม่รักเธอ
น่าเสียดายที่ประเด็นเสริมต่างๆ ที่หนังใส่เข้ามายังทำออกมาได้ไม่ชัดเจนสักเท่าไหร่ แต่ในช่วง 30 นาทีสุดท้ายของหนัง ถือว่าเป็นไคลแมกซ์ตลอดทางที่น่าจดจ้องเป็นอย่างมาก เข้าสู่โหมดขยี้ประเด็นของหนังทำได้อยู่หมัด การถ่ายทอดอารมณ์และทัศนคติของตัวละครต่างๆ เอาเรื่องได้ดี หนังสามารถหมวดปมทุกอย่างและกลั้นกรองออกมาเป็นปัญหาที่ครอบครัวหนึ่งกำลังเผชิญหน้าอยู่ ดูหนังฟรี
สิ่งที่หนังสื่อสารกลับมายังคนดูถือว่าตรงไปตรงมาเป็นอย่างดี โดยที่ไม่ได้เน้นปมเรื่องเพศที่สามมาชูโรงเป็นหลัก แต่กลับเน้นปมครอบครัวแทน ที่ถือว่าเป็นบทสรุปที่พอจะรู้สรุปเป็นอย่างดี แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างแรงบันดาลใจและกระชับความอบอุ่นภายในครอบครัวขึ้นได้อีกเป็นกอง
โดยสรุปแล้ว Happiest Season เป็นหนังครอบครัวที่ถ่ายทอดออกมาได้ค่อนข้างน่าพอใจ มีประเด็นหลักที่ค่อนข้างน่าสนใจ มาพร้อมกับนักแสดงที่รับมือได้อยู่หมัดตลอดทั้งเรื่อง แม้ว่าภาพรวมจะดูเดาทางได้ง่าย มีความซ้ำซากจำเจเหมือนหนังเมื่อ 10 ปีก่อนไปอยู่บ้าง แต่บทสรุปสุดท้ายของหนังก็สร้างความประทับใจได้ดี จนต้องเผลอยิ้มออกมาแบบไม่รู้ตัว
Happiest Season ไม่มีฤดูไหนไม่รักเธอ เป็นภาพยนตร์รักที่จะเล่าเรื่องราวของ ‘แอ็บบี้’ ที่ตัดสินใจเดินทางไปพบกับครอบครัวของแฟนสาวเธอ ‘ฮาร์เปอร์’ และมีแผนว่าจะเซอร์ไพรส์ขอแต่งงานในช่วงมื้อค่ำวันคริสมาสต์ของครอบครัว แต่เธอไม่รู้เลยว่าฮาร์เปอร์นั้นได้เก็บความลับเรื่องความสัมพันธ์ฉบับเลสเบี้ยนของทั้งคู่ไว้ไม่ให้ครอบครัวรู้ และนั่นทำให้แอ็บบี้เริ่มมีคำถามเกิดขึ้นมากมายเกี่ยวกับแฟนสาวที่เธอคบอยู่
การเล่าเรื่องสำหรับเรื่องนี้มันก็ภาพยนตร์รักคริสต์มาสที่มีเรื่องครอบครัวผสมกับความเป็นหนังเพศทางเลือกเข้ามาเกี่ยวข้องแหละครับ หรือถ้าเอาตามความคิดผมแล้วนี่ไม่ใช่หนังสำหรับคนรักร่วมเพศด้วยซ้ำ เพราะตัวหนังพยายามเน้นเรื่องชีวิตของตัวเอง รวมไปถึงครอบครัวที่พยายามหาความเพอร์เฟ็คให้กับตัวเอง พยายามรักษาหน้าตาทางสังคมและการงาน จนมันทำให้เรื่องมันยุ่งเหยิงไปหมด เพราะทุกคนล้วนแล้วแต่มีจุดบกพร่องที่ท้ายที่สุดก็มักจะทำให้มันระเบิดออกมาแล้วดูไม่
สวยงามไปกันใหญ่ และสิ่งที่ผมชอบมากที่สุดคือตัวหนังไม่ได้พยายามให้เรามองไปที่เรื่องเพศว่ามันจะมีอะไรผิดแปลกด้วยซ้ำ หากแต่เน้นให้ตัวละครเหล่านั้นมองที่ตัวเองมากกว่าว่ากำลังทำอะไรอยู่ เลือกเป็นอะไร และอยู่กับมันได้หรือเปล่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ข้อคิดจากเรื่องนี้จึงใช้ได้กับทุกเรื่องเลย
ด้านอารมณ์เรื่องนั้นเน้นความเบาสมองมากกว่า มักมีความฮาแบบกระอักกระอ่วน มีมุขอยู่ประปรายทั้งเรื่อง มีความเล่นใหญ่บ้างแต่ก็ไม่เกินเบอร์ ขณะเดียวกันก็มีความ ดราม่า น้ำตาไหลอันเกิดจากประเด็นเรื่องอย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ ซึ่งการแสดงของนักแสดงหลายคนก็ช่วยทำให้เราอินกับเรื่องนี้ได้
รีวิว Happiest Season (2020) ไม่มีฤดูไหนไม่รักเธอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนักแสดงสาวตัวสูงหน้าใหม่อย่าง แม็คเคนซี เดวิส (Mackenzie Davis) ที่แสดงได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ และฉากดราม่าทำดีมาก ขณะที่นักแสดงสาวอย่าง คริสเตน สจ๊วต (Kristen Stewart) นั้นยังคงหน้านิ่งเหมือนเดิมโดยภาพรวม แต่เล่นฉากดราม่าได้ดีขึ้น รีวิวหนัง
โปรดัคชั่นโดยภาพรวมก็ทำได้ตามมาตรฐานหนังคริสมาสต์รักและ ครอบครัวแหละครับ เต็มไปด้วยฉากตกแต่งตามเทศกาล และ หิมะประปราย การจัดแสงหรือจัดฉากสถานที่ต่างๆ เต็มไปด้วยผู้คนตัวประกอบ ฉากงานเลี้ยง และ ผับบาร์ ด้านเสียงประกอบและเพลงประกอบก็ทำได้ตามคุณภาพของสตูดิโอใหญ่อยู่แล้ว เผื่อใครเกรงว่านี่จะเป็นหนังที่ดูเกรดต่ำเกินกว่าจะชมในโรงภาพยนตร์ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่นะจ๊ะ เพราะหนังเรื่องนี้ทำคุณภาพได้งดงามพอสมควรเลย
สรุปโดยภาพรวมแล้ว Happiest Season ไม่มีฤดูไหนไม่รักเธอ จึงเป็นภาพยนตร์รักเฮฮาดราม่านิดหน่อยที่ทำออกมาได้ค่อนข้างดี ภาพรวมของเรื่องนั้นไม่ใช่หนังรักร่วมเพศเท่าไหร่ นี่เป็นหนังรักทั่วไปของกลุ่มตัวละครที่พยายามรักษาความเพอร์เฟ็คและหน้าตาในสังคมของตัวเองไว้
จนลืมมองความรักและความดีงามรอบข้าง ซึ่งภาพรวมก็สอนใจได้ดี อารมณ์เรื่องมีหลากหลาย เฮฮาบ้าง เศร้าบ้าง คละคลุ้งกันไป ด้านโปรดัคชั่นภาพรวมนั้นก็ทำได้ดีในแง่ของหนังคริสต์มาสเรื่องหนึ่ง ใครเป็นคอหนังรักคริสต์มาส ชอบหนังครอบครัวเฮฮาเปิ่นๆ มีแง่คิดสอนใจ เชิญชมในโรงภาพยนตร์ได้เลย
มันเป็นเรื่องราวของคู่รักสองสาว อบิเกล หรือ แอ็บบี้ (Kristen Stewart/คริสเต็น สจวร์ต จากหนังเรื่อง Café Society ณ ที่นั่นเรารักกัน, Still Alice อลิซ…ไม่ลืม และ Charlie’s Angels) หญิงสาวที่ไม่ใคร่ชอบเทศกาลคริสต์มาสสักเท่าไหร่ เธอคบหาดูดดื่มอยู่กับ ฮาร์เปอร์
(Mackenzie Davis/แมคเคนซี เดวิส จากหนังเรื่อง The Martian, Blade Runner 2049 และ Terminator: Dark Fate) แต่เทศกาลรวมญาติในปีนี้ แอ็บบี้ตัดสินใจจะร่วมเดินทางไปกับฮาร์เปอร์เพื่อใช้เวลา 5 วันอยู่กับเครือญาติของเธอ โดยมีจุดประสงค์สำคัญ ก็เพื่อเปิดตัวแฟนหญิงอย่างแอ็บบี้ให้พวกเขาได้รู้จัก
ที่นั่น เธอได้รู้จักกับครอบครัวของฮาร์เปอร์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น เท็ด (Victor Garber) พ่อผู้กำลังมุ่งหวังก้าวหน้าในวงการการเมือง ทิปเปอร์ (Mary Steenburgen) แม่ผู้เคร่งครัดทุกสิ่ง สโลน (Alison Brie ผู้ให้เสียงพากย์ในซีรีส์เรื่อง BoJack Horseman และแอนิเมชันเรื่อง Weathering with You ฤดูฝัน ฉันมีเธอ ) พี่สาวผู้แต่งงานแล้ว เป็นคุณแม่ผู้แข็งแกร่งของลูกแฝด และเจน (Mary Holland จากหนังเรื่อง The Package) น้องสาวผู้มุ่งมั่นอยู่กับนิยายแฟนตาซีที่เธอใฝ่ฝัน
ความเป็นจริงก็คือ ฮาร์เปอร์ไม่เคยเปิดเผยเรื่องการคบกันของพวกเขาก็ครอบครัวแม้แต่น้อย วันที่เธออยู่ใต้ชายคานั้น เธอต้องโกหกให้แนบเนียนทุกอย่าง แอบซ่อนความสัมพันธ์เอาไว้ บอกได้แค่เป็นรูมเมท ไม่พอ เธอยังต้องอุปโลกน์ว่า จอห์น (Dan Levy จากซีรีส์เรื่อง Schitt’s Creek) เพื่อนเกย์ของเธอนั้นเป็นแฟนเก่าอีกต่างหาก
ความสัมพันธ์ของแอ๊บบี้และฮาร์เปอร์นั้น ถ้าจะพูดให้คนทั่วไปเข้าใจก็คือ ทั้งสองเป็นเลสเบี้ยน เป็นความรักที่หญิงมีให้กับหญิง ซึ่งอาจจะไม่ใช่ทุกคนหรือทุกครอบครัวที่จะยอมรับและรับได้กับความสัมพันธ์นี้ แอ๊บบี้ผู้คาดหวังจะได้พบกับเทศกาลคริสต์มาสที่แสนสุข ได้เปิดตัวกับครอบครัวของฮาร์เปอร์ แต่ไม่…ไม่ใช่เลย เพราะระหว่างการเดินทางเธอได้บอกบางสิ่ง ซึ่งก็ยังมิใช่การบอกทั้งหมด