รีวิว Midnight Sun

Midnight Sun (2018) หลบตะวัน ฉันรักเธอ เป็นเรื่องราวของ เคธี่ ไพรซ์ (รับบทโดย เบลล่า ธอร์น) เด็กสาววัยรุ่นที่ป่วยเป็นโรค Xeroderma Pigmentosum โดนแสงแดดไม่ได้เพราะจะทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังจนถึงขั้นสมองหยุดทำงาน เคธี่เลยต้องอยู่แต่ใน

เนื้อเรื่อง รีวิว Midnight Sun

 

รีวิว Midnight Sun

 

บ้าน และ คอยมอง ชาร์ลี (รับบทโดย แพทริก ชวาร์เซเน็กเกอร์) เล่นสเก็ตบอร์ดผ่านหน้าบ้านทุกวันตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเคธี่อายุสิบเจ็ดปี เธอได้ไปเล่นกีต้าร์ที่สถานีรถไฟ และ มีโอกาสพบ กับ คนที่เธอตกหลุมรัก ต่อมาเพื่อนของเคธี่วางแผนทำให้ทั้งสองคนเจออีกครั้งจนได้ไปออกเดตด้วยกันในเฉพาะตอนกลางคืน โดยที่ชาร์ลียังไม่รู้ว่าเคธี่ป่วย และ ไม่สามารถโดนแสงแดดได้ ดูหนัง 

เรื่องย่อ รีวิว Midnight Sun

 

รีวิว Midnight Sun

 

ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงจากภาพยนตร์ญี่ปุ่นในปี 2006 ในชื่อเดียวกันว่า Taiyō no Uta (ภาษาญี่ปุ่น) ซึ่งก็เป็นหนังรักโรแมนติกที่ออกฉายในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2006 ผลงานการกำ กับ ของ โนริฮิโระ โคอิซึมิ เจ้าของผลงาน Wrestling with a Memory, Flowers และ Chihayafuru เขียนบทโดย บันโดะ เคนจิ ที่อยู่เบื้องหลังหนังรักญี่ปุ่นหลายเรื่อง อาทิ I Give My First Love to You, Heavenly Forest รวมถึง Kids

 

โดยในเวอรชั่นนี้จะพูดถึง เคที ไพรซ์ (เบลลา โทรน) อายุ 17 ปี เด็กสาวผู้เกิดมาพร้อม กับ ความผิดปกติ เธอไม่สามารถที่จะสู้ กับ แสงอาทิตย์ได้ ยามค่ำคืนจึงเป็นเวลาเดียวที่เธอจะสามารถออกจากบ้านได้ ดังนั้นเธอจึงต้องนอนหลับในช่วงเวลากลางวัน ก่อนจะตื่นในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งเป็นเวลาที่เธอจะออกไปเล่นกีตาร์ในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน เมื่อเธอได้พบ กับ ชาร์ลี (แพททริค ชวาร์ซเนคเกอร์) เธอไม่ได้บอกถึงข้อจำกัดของ

 

ตัวเองในตอนแรก เพราะเธอกลัวว่าจะทำให้เขาจากไป แต่สุดท้ายเมื่อพวกเขาทั้งคู่ไปออกเดทกันในคืนหนึ่ง ทุกอย่างเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดี จนกระทั่งเธอรีบวิ่งกลับบ้านให้ทันเท่าที่จะทำได้ก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น ชาร์ลีเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่เคทียังคงกลัวที่จะบอกเขาถึงความลับของเธอ ดูหนังออนไลน์

 

รีวิว Midnight Sun

 

ถ้าพูดถึงตัวอย่างหนังนั้นหลายคนอาจดูแล้วพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหนังเรื่องนี้คงดำเนินตามสูตรหนังรักวัยรุ่นทั่วไป โดยมีสูตรสำเร็จของหนังวัยรุ่นเดิมๆอย่างเห็นได้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวความรักของสองคน ครอบครัว รวมไปถึงเหตการณ์ต่างๆที่น่าจะพอเดาได้จากแต่ละฉาก แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกชอบมากที่สุดคือ หนังเรื่องนี้ใช้ความ “ธรรมดา” และ ความ “ธรรมชาติ” มาถ่ายทอดให้เราได้ดูกัน หนังจะไม่ค่อยยืดเยื้อสักเท่าไหร่ แต่ละฉาก สามารถเข้าถึงได้ง่ายมาก และ ที่สำคัญหนังเรื่องนี้มีเพลงเพราะๆให้ได้ฟังกันอีกด้วยนะ

 

แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้อาจเป็นหนังรักทั่วไปที่หลายๆคนเคยๆดูมาไม่ว่าจะกี่เรื่องต่อกี่เรื่อง หากแต่ว่าหนังใส่เรื่องราวของตัวละครฝ่ายนำหญิงเข้าไปคือ เคที่ ที่ต้องเป็นผู้หญิงที่มีความผิดปกติโดยเธอป่วยเป็นโรคที่เธอนั้นไม่สามารถถูกหรือโดนแสงอาทิตย์ได้ ดังนั้นเธอจึงอยู่แต่ในบ้านในตอนกลางวัน และ ตื่นตอนกลางคืน จึ่งทำให้เธอไม่สามารถมีชีวิตแบบคนปกติได้ ถึงตรงนี้หลายคนอาจคิดขึ้นมาในใจว่า นี่มันก็เป็นอีกสูตรหนึ่งของหนังที่หลายๆคนก็อาจจะเห็นมาหลายต่อหลายเรื่องอีกแหละ เช่น Penelope, Beastly หรือแม้กระทั่ง  The Fault in Our Stars ซึ่งถ้าจะพูดแบบนี้มันก็ถูกต้อง ดูหนัง 4k

 

 

แต่หนังเรื่องนี้ค่อนข้างต่างจากหนังเหล่านั้นเล็กน้อย ตรงที่ในหนังนั้นทุกอย่างค่อนข้างจะดูเป็นธรรมชาติ เหมือน กับ ว่ามันเกิดขึ้นได้ กับ เราๆ คือรู้สึกเหมือนว่ามันเหมือนเอาชีวิตคนมาให้ดูก็ว่าได้ ไม่มีโอเวอร์ ไม่มีอำอาจวิเศาใดๆ  มีแค่ความรู้สึกของพระนางที่เล่นได้เข้ากีนดี และ มันคือความรู้สึกอิน กับ หนังล้วนๆ และ ที่เห็นเด่นชัดเลย หนังเรื่องนี้ไม่มีอะไรที่เน้นเรื่องความรุนแรงเลยแม้แต่น้อย ถ้าจะพูดตามภาษาของเราๆก็อาจพูดได้ว่าตลอดทั้งเรื่องนั้นเหมือนหนังโลกสวยที่อยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์

 

มันสัมผัสได้ถึงความรักของหลายๆฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเคที กับ พ่อของเธอเองที่ เหมือน กับ ว่าเธอโชคดีมากที่มีพ่อที่แสนดี และ เข้าใจเธอมาตลอด โดยในเรื่องก็มีฉากฮาๆเรียกเสียงหัวเราะได้อยู่หลายฉากเหมือนกัน เลยทำให้หนังไม่หวานจนเกินไป พ่อของเธอคือคนที่คอยเอาใจใส่เธอทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นครูให้ จะคอยเอาของขวัญมาให้ตอนเรียนจบ หรือแม้กระทั่งคอยดูแลเธอตลอดจนตัวเองที่ (น่าจะเป็นช่างภาพ) ต้องทิ้งทุกอย่างมาดูแลเธอ ซึ่งตรงนี้ก็ชอบมากๆเลย ดูหนังออนไลน์ 4k

 

 

และ อีกฝ่ายคือเคที่ กับ ชาร์ลี แน่นอนว่ากว่าเธอจะได้เจอ และ สมหวัง กับ ชาร์ลีนั้นก็มาจากการที่เธอได้เจอกันที่สถานีรถไปตอนที่เธอไปยืนดีดกีตาร์ร้องเพลงนั่นเอง เธอได้พบ และ ได้พูดคุย กับ ชาร์ลี ชายหนุ่มที่เธอมองจากหน้าต่างบ้านทุกวันตั้งแต่อายุ 11 ขวบ เป็นครั้งแรก ฮ่าๆๆ มีหลายฉากเหมือนกันที่เรียกเสียงหัวเราะออกมาได้จากการกระทำของเธอ

 

เคที่ และ ชาร์ลีเดทกัน โดยที่เธอเองไม่ได้บอกความลับให้ กับ ชาร์ลีได้รู้เรื่องที่ว่าเธอป่วย จนกระทั้งวันนึงความลับก็แตกจนทำให้เคที่เองคิดว่าชาร์ลีจะเสียเวลาเปล่า ตรงนี้หนังก็ใช้เวลาไม่มากที่จะปรับความสัมพันธุ์ของสองตัวละคร เลยทำให้รู้สึกว่ามันกระชับดี แต่หนังมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย โดยส่วนตัวแล้วในส่วนของข้อเสียคือเราว่าหนังค่อนข้างมีบทที่เบาไปหน่อยในบางฉาก หรือการกระทำบางอย่างมันก็ยังดูขัดๆนิดๆ  และ สุดท้ายหนังก็ดำเนินมาถึงจุดจบ ซึ่งแน่นอนถ้าหากว่าใครดูเวอร์ชั่นต้นฉบับมาก็น่าจะรู้ว่าจะต้องจบยังไง

 

 

โดยรวมถือว่าชอบหนังเรื่องนี้นะ อาจไม่เพอร์เฟคมากมาย อาจไม่ได้ชอบมากมาย แต่ตอนดูมันทำให้ใจรู้สึกหวิวๆ และ ยิ้มเวลาดูหนังออกมาได้ (ไม่ได้ยิ้มเพราะฉากขำๆนะแต่ยิ้มเพราะความน่ารัก ความโรแมนติกที่ตัวละครเอกทั้งสองตัวแสดงออกมาได้อย่างดีจนเราอิน) ก็มีความสุขที่ได้ดู และ แน่นอนไปดูคนเดียวอย่างเราก็อินไปดิ อินไป ฉากใหนเศร้าก็เศร้าไป ด้วยความที่ไปดูคนเดียวมันก็จะอินหน่อยๆ ฮ่าๆๆ ชอบหลายๆอย่าง

 

เอามากๆ โดยเฉพาะเพลงในเรื่องที่แต่ละเพลงก็ค่อนข้างเพราะซะด้วยแฮะ หลายๆฉากดูๆแล้วรู้สึกคิดในใจ ทำไมพระเอกหล่อจังเลยวะ 555 คนอะไรหล่อมาก ก่อนดูก็ไม่ค่อยได้ดูชื่อนักแสดงเท่าไหร่นะ แต่พอดูจบลองอ่านชื่อคนที่มารับบทชาร์ลีดีๆ อ้าวเฮ้ยนี่มัน ลูกคนเหล็กนี่หว่า ลูกของอาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์

 

Midnight Sun (2018) เป็นภาพยนตร์ดราม่าโรแมนติกสุดประทับใจเรื่องหนึ่งที่ต้องวนกลับมาดูซ้ำ ส่วนตัวแล้วมองว่าตัวหนังถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้ดีมาก เราจะได้เห็นความรักในครอบครัวระหว่างเคธี่กับพ่อซึ่งคอยดูแลเธอมาตลอด ได้ประทับใจในมิตรภาพของเธอ และ มอร์แกนเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่คอยมาเล่นด้วยที่บ้านตั้งแต่เด็ก และ ที่สำคัญที่สุดคือความรักระหว่างเคธี่กับชาร์ลีที่จะทำให้เราอิ่มเอมใจไปตามๆกัน

 

 

สิ่งที่ต้องคอยลุ้นในภาพยนตร์เรื่องนี้คือพระเอกจะรู้ตอนไหนว่านางเอกกำลังป่วย เพราะเคธี่ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะบอกชาร์ลีดีหรือว่าจะแกล้งใช้ชีวิตตามปกติต่อไป ตอนที่นัดกันไปเดตนางเอกบอกพระเอกว่าตัวเองว่างเฉพาะตอนกลางคืน เวลาทั้งคู่เจอกันเป็นตอนกลางคืนตลอด (พระเอกเราไม่เอะใจอะไร) จากนั้นก็ต้องมาตามลุ้นอีกว่าหลังจากพระเอกรู้เรื่องแล้วความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจะเป็นยังไง ต้องบอกไว้ก่อนว่าเมื่อดูจนถึงท้ายเรื่องแล้วอาจทำให้ใครหลายคนเสียน้ำตาให้กับหนังเรื่องนี้ได้เลย รีวิวหนัง 

 

หลังจากที่ชาร์ลีรู้ว่าเคธี่ป่วยเขาจึงไปพบเธอที่บ้าน พ่อของเคธี่รู้ว่าลูกสาวรักชาร์ลีมากจึงบอกให้ออกไปคุยกันให้เข้าใจ ฉากนี้เคธี่ขอโทษชาร์ลีที่ไม่ได้บอกว่าตัวเองป่วย ตัวหนังถ่ายทอดออกมาให้คนดูรู้สึกโหวงใจ (นิดๆ) ก่อนอารมณ์จะหน่วงขึ้นเมื่อนางเอกบอกเลิกพระเอกเพราะคิดว่า

 

 

ระหว่างทั้งคู่คงไปกันไม่ได้ ฉากนี้ทำให้เราลุ้นในความสัมพันธ์ของเคธี่ และ ชาร์ลีว่าจะเป็นยังไงต่อ (เพราะหลังบอกเลิกพระเอกเดินหันหลังไป) จนคนดูไปสะดุดกับประโยคขำๆที่พระเอกตอบกลับนางเอกว่า ‘รู้ไหม นี่เป็นคำพูดบอกเลิกที่แย่ที่สุดที่ผมเคยได้ยินมา’ บอกได้เลยว่าทำให้คนดูถอนหายใจออกมาได้อย่างโล่งอก จากนั้นทั้งคู่จึงได้ปรับความเข้าใจกัน และ ตกลงจะมีฤดูร้อนที่ดีที่สุดในชีวิตด้วยกัน

 

สิ่งที่ชอบอีกอย่างหนึ่งใน Midnight Sun (2018) คือเพลง ‘Walk with Me’ ที่เบลล่า ธอร์น เป็นคนร้องเอง ความหมายของเพลงนี้ดีมาก สามารถเล่าความรู้สึกของเคธี่ผ่านบทเพลงได้อย่างดีเยี่ยม ตอนท้ายของภาพยนตร์ชาร์ลีได้พาเคธี่ไปอัดเทปเพลงนี้ไว้จนได้ออกรายการวิทยุ และ เราจะได้ยินเพลงนี้ในตอนจบของเรื่องพร้อมกับฉากพระเอกยืนอ่านสมุดบันทึกของนางเอกท่ามกลางแสงอาทิตย์อันอบอุ่น เป็นฉากจบที่ซึ้ง และ ประทับใจจนต้องเสียน้ำตากันเลยทีเดียว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *