รีวิว One for the Road

วันนี้ผมจะมารีวิว (One for the Road) ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดจาก GDH เป็นภาพยนตร์แนว Road Trip ดราม่าเข้มข้น เมื่อชายหนุ่มกำลังจะตายจึงตัดสินทางเดินทางไปบอกลาแฟนเก่า อำนวยการสร้างโดย หว่อง กาไว ผู้กำกับมากฝีมือจากฮ่องกง กำกับโดย บาส นัฐวุฒิ พูนพิริยะ เจ้าของผลงาน ฉลาดเกมส์โกง (2017)

ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเล่าเรื่องราวของ อู๊ด (ไอซ์ซึ ณัฐรัตน์) ที่ป่วยเป็นโรคร้ายและมีเวลาอยู่ได้อีกไม่นาน เขาจึงตัดสินใจโทรตามเพื่อนของเขาที่เป็นเจ้าของบาร์อยู่ที่ New York อย่าง บอส (ต่อ ธนภพ) ให้กลับมาเมืองไทย เพื่อพาเขาขับรถไปเจอหน้าแฟนเก่าครั้งสุดท้ายก่อนตาย ดูหนังฟรี

รีวิว One for the Road

 

เพราะหมอไม่อนุญาติให้เขาขับรถ เลยต้องให้เพื่อนมาขับให้ ซึ่งเขาจะไปหาแฟนเก่าทุกคนเพื่อเคลียร์ และ ไม่ให้มีอะไรค้างคาต่อกันอีก เรื่องราวของพวกเขาทั้งสองคนจะลงเอยอย่างไร และ จะทำได้สำเร็จตามที่คิดไว้หรือไม่ คงต้องไปรับชมด้วยตาตัวเอง วันนี้ทุกโรงภาพยนตร์

บอกก่อนเลยว่า ดีเกินคาดมากๆ งานภาพสวยจริงๆ ยอมรับเลย ไม่เสียชื่อหว่อง กาไว จริงๆ งานละเอียด และดูสากลกว่าหนังไทยทั่วไปมากๆ แต่ต้องบอกว่าเรื่องนี้งานภาพไม่ได้ออกมาสไตล์หว่องขนาดนั้น แต่ก็มีกลิ่นอายไม่น้อย แต่ไม่เหมือนไปซะทั้งหมด ซึ่งบอกเลยว่าไม่ได้มีดีแค่งานภาพที่สวยงาม

รีวิว One for the Road

แต่มันดีเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะบท ที่เขียนมาได้ดีมากๆ มีรายละเอียดยิบย่อยมากมาย ทำให้ได้เห็นมิติของตัวละครทุกตัวได้อย่างชัดเจน และทำให้คนดูเข้าใจความรู้สึกของตัวละครได้อย่างถ่องแท้ แถมทุกอย่างยังมีความหมายและสื่อถึงกันแบบหมดจด ทำให้รู้เลยว่า คนทำหนังเขาตั้งใจให้มันออกมาดีจริง ๆ

ในส่วนของนักแสดงก็แสดงดีกันทุกคน โดยเฉพาะซีนดราม่า ทำกันได้ดีไม่มีข้อกังขา แต่ขอติเรื่องบทพูดบางฉาก ที่บทพูดมันแปลกๆ ดูไม่ธรรมชาติยังไงไม่รู้ แต่ก็แค่บางฉากแหละ ภาพรวมคือดีหมด นอกจากงานภาพที่ผมชอบมากๆแล้ว อีกอย่างที่ชอบคือเพลง เสียงประกอบฉากต่างๆ

รีวิว One for the Road

ทำออกมาได้โคตรดีมากๆ เลือกเพลง และเสียงประกอบฉากและอารมณ์ต่างๆได้ดี เหมาะกับภาพและสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ไปอย่างลื่นไหล อีกอย่างคือการที่เอาเสียงของตัวละครพ่อที่เป็นดีเจคลื่นวิทยุมาใส่ประกอบเป็นเสียงพื้นหลังอยู่เป็นระยะๆ มันเป็นอะไรที่เท่ห์ และดีมากๆจริงๆ เพราะเสียงที่คลอนั้นมันซ่อนเรื่องราวและความรู้สึกของตัวละครหลักไว้ ทำให้หนังมันมีเสน่ห์เพิ่มขึ้นมามากๆ

เรื่องย่อ รีวิว One for the Road

โดยรวมแล้วถือว่าทำออกมาได้ดีมากๆแล้ว ผมชอบพอสมควร แต่ก็ยังไม่ถึงกับชอบมาก แต่รับรองว่าไม่เสียดายค่าตั๋วแน่นอน 100% ความดีงามของเรื่องนี้มันอยู่ระดับที่เอาไปฉายให้ต่างชาติดูได้แบบไม่อายเลย ผมมองว่าหนังไทยควรเริ่มจากหนังดราม่าเนี่ยแหละ เพราะใช้ทุนไม่เยอะ

แต่สามารถทำออกมาให้ดีในระดับสากลได้ ถ้าอยากเห็นหนังไทยดีขึ้น และสามารถแข่งขันกับนานาชาติได้ ก็อยากให้ทุกคนช่วยกันสนับสนุนหนังไทยกัน แต่ไม่ได้บอกว่าให้ดูทุกเรื่องนี้ แต่เรื่องนี้ควรดู เพราะมันดีจริง คนทำจะได้มีกำลังใจทำหนังดีๆออกมาให้เราได้ดูอีก ดูหนังใหม่

ผลงานเรื่องล่าสุดของบาส – นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ผู้กำกับ ‘เคาท์ดาวน์’ กับ ‘ฉลาดเกมส์โกง’ ที่คราวนี้พ่วงหว่องกาไว (Wong Kar-wai) โคจรข้ามโลกมาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ พร้อมกับหนีบรางวัล World Dramatic Special Jury Award: Creative Vision จาก Sundance Film Festival มาเป็นเครื่องการันตีก่อนเข้าฉายในไทย

‘One for the Road’ เริ่มต้นเมื่ออู๊ด (ไอซ์ซึ – ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์) ได้โทรมาหาบอส (ต่อ – ธนภพ ลีรัตนขจร) ว่าตัวเขากำลังจะตายเพราะลูคีเมีย บอสจึงต้องข้ามน้ำข้ามทะเลจากนิวยอร์กกลับมาไทย และพาอู๊ดไปทำตามปณิธานสุดท้ายก่อนตาย ซึ่งก็คือการเดินทางกลับไปคืนของให้เหล่าบรรดาแฟนเก่า เรื่องราวการเดินทางครั้งสุดท้ายของชายป่วยใกล้ตายกับเพื่อนรักจึงเริ่มขึ้น

หากใครได้เห็นโปสเตอร์หรือดูเทรลเลอร์มาบ้าง คงพอมองออกว่า One for the Road เป็นหนังสไตล์  ‘Road Movie’ ซึ่งจะเป็นการพาตัวละครไปยังสถานที่ต่าง ๆ พร้อมพาคนดูดำดิ่งเข้าไปในความสัมพันธ์อันซับซ้อน ฉะนั้นแล้วหนังเรื่องนี้จึงมีบรรยากาศที่แตกต่างจากหนังเรื่องอื่น ๆ ของบาส นัฐวุฒิ มากพอสมควร ในขณะที่หนัง 2 เรื่องก่อนจะเน้นสไตล์ทริลเลอร์ที่อัดความลุ้นระทึกจนแทบไม่ทันหายใจ แต่ในเรื่องนี้กลับเป็นบรรยากาศสบาย ๆ ที่ค่อย ๆ ใช้อารมณ์ภายในขับเคลื่อนตัวมู้ดของหนังออกมาแทน

ขณะที่หนังพาเราสำรวจเส้นทางที่อู๊ดและบอสได้ได้เดินทางผ่าน หนังก็ค่อย ๆ สอดแทรกแฟลชแบ็กกับหยอดปมไว้ตลอดทาง พร้อมย้อนความว่าพวกเขาเป็นใคร อะไรที่นำพาให้พวกคู่หูนี้ให้ต้องมาเจอกัน แต่ทว่าหนังก็ใช้ความเป็นโร้ดมูวี่ได้ไม่คุ้มนัก เพราะแต่ละโลเกชันที่พวกเขาไป มันกลับไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรไปมากกว่าการเป็นแค่จุดเช็กพอยต์ที่พาอู๊ดไปเจอกับแฟนเก่าแต่ละคนก็เท่านั้น

ถึงแม้ว่าหนังจะไม้ได้สลับซับซ้อนทางการนำเสนอ แต่ก็ทดแทนด้วยบทที่ซับซ้อนเข้ามาแทน จากปมปัญหาที่หนังแอบหยอดไว้ในแต่ละเส้นทางก็ค่อย ๆ ก่อตัวเป็นระเบิดเวลา และทำให้ซีนไคลแม็กซ์นั้นปะทุออกมาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ แม้ว่าหนังจะรีดอารมณ์คนดูออกมาได้ถูกจังหวะ แต่น่าเสียดายปมใหญ่ของหนังที่ถูกชูไว้ กลับไม่ถูกให้น้ำหนักเท่าที่ควร และทำให้คนดูรู้สึก ‘หลงทาง’ ในบางครั้ง

รีวิว รีวิว One for the Road

อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยพยุงหนังไว้คือทัพนักแสดงที่คอยแบกเรื่อง ไล่ตั้งแต่นักแสดงหลักอย่าง ต่อและไอซ์ซึที่เคมีเข้ากันอย่างลื่นไหล ในแต่ละบทสนทนาของทั้งคู่แฝงไว้ด้วยความยียวนกวนทีนและเป็นห่วงกันตลอด จนเรารู้สึกได้เลยว่า นี่แหละความเป็นเพื่อนที่ไม่ประดิดปะดอย โดยเฉพาะไอซ์ซึ ที่ต้องขอชมมาก เพราะเขาใช้วิธีการแสดงแบบ Method Acting ในการดำดิ่งเข้าสู่ความเป็นอู๊ด ซึ่งไอซ์ซึต้องลดน้ำหนักถึง 17 กิโลกรัมและศึกษาพฤติกรรมของผู้ป่วยลูคีเมียระยะสุดท้ายไปพร้อมกัน

ด้านนักแสดงสมทบนั้นก็เล่นดีไม่แพ้กัน ไล่ตั้งแต่บรรดาแฟนเก่าของอู๊ดที่รับบทโดย พลอย หอวัง, ออกแบบ ชุติมณฑน์, นุ่น ศิรพันธ์ ที่ทยอยมาสร้างสีสันกันเป็นระยะ แต่น่าเสียดายที่หนังให้มิติพวกเธอเป็นแค่คนที่ผิดหวังจากอู๊ดและโผล่มาเพื่อด่ากับให้อภัยเท่านั้น แม้กระทั่งตัวละครอย่าง พริม (แสดงโดย วี วิโอเลต)  ที่เป็นแฟนเก่าของบอส ซึ่งได้มิติและแอร์ไทม์มากกว่าแฟนเก่าคนอื่น ๆ ก็มีหน้าที่เพียงแค่ช่วยขับตัวตนจริง ๆ ของอู๊ดกับบอสออกมา และที่อดพูดถึงไม่ได้เลยก็คือบท

พ่อของอู๊ด (ธเนศ วรากุลนุเคราะห์) ที่แม้จะโผล่มาแค่เสียงและซีนสั้นๆ แต่ก็ทำหน้าที่ในการนำพาอู๊ดกับบอสให้ทำภารกิจไปจนสุดทาง ‘One for the Road’ พยายามอย่างมากที่จะพาเราไปสำรวจในทุกแง่มุมของความสัมพันธ์ ตั้งแต่คนแปลกหน้า เพื่อน คนรัก ไปจนถึงครอบครัว ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ช่วยดึงอารมณ์ให้คนดูมีจุดร่วมกับหนังไปได้อย่างดี รีวิวหนัง

ด้านงานภาพที่กำกับโดย พาเกล้า จิระอังกูรกุล นั้นก็เป็นหนึ่งข้อดีของเรื่องนี้ รับรู้เลยว่าในแต่ละซีนค่อนข้างพิถีพิถันในการจัดวางเฟรม และการที่ได้หว่องกาไวมาช่วยดูภาพรวมของหนัง ก็ทำให้บรรยากาศ ‘สไตล์หว่อง’ ตลบอบอวลอยู่ตลอดทั้งเรื่อง เมื่อผสมกับจังหวะการตัดต่อสไตล์มอนทาจอย่างรวดเร็วด้วยแล้ว ก็ทำให้จังหวะของหนังถูกนำเสนอออกมาได้อย่างพอดี เป็นตรงกลางที่สมดุลและไม่น่าเบื่อจนเกินไป

โดยรวมแล้ว ‘One for the Road’ หรือชื่อไทย ‘วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ’ เปรียบเหมือนค็อกเทลแก้วทดลองของบาส มีทั้งรสชาติที่แปลกใหม่และส่วนที่อาจจะยังไม่อร่อยนัก แต่ด้วยการเชคที่ปราณีตและความพิถีพิถันในการคัดเลือกวัตถุดิบ ก็ช่วยให้เราดื่มด่ำกับมันได้ไม่ยาก พร้อมทั้งดีใจที่ได้เห็นเวย์ใหม่ ๆ ในการนำเสนอของบาส (และอีกก้าวของหนังไทย) ซึ่งชวนให้เราตั้งหน้าตั้งตารอว่า “ค็อกเทลแก้วต่อไปของบาสนั้นเป็นอย่างไร” และเราก็พร้อมจะยกขึ้นดื่มอย่างไม่ปฏิเสธ

จุดเด่น

งานภาพและการนำเสนอที่ปราณีตช่วยให้เราดำดิ่งอยู่ในทุกห้วงอารมณ์ของหนัง แม้ว่าจเดินเรื่องช้าแต่เมื่อผสมกับการตัดต่อที่มีความกระชับ ก็ช่วยให้หนังมีจังหวะที่แทบไม่น่าเบื่อเลย

จุดสังเกต

หนังมีจุดที่ไม่ยังไม่เคลียร์อยู่หลายจุด และตัวละครหลายตัวก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นอุปสรรคมีความแบนราบมาก ตัวละครที่ไม่ถูกโปรโมตหลายตัวยังน่าสนใจกว่าตัวละครสมทบอีก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *