รีวิว La La Land

ภาพยนตร์เพลงแนวโรแมนติก สัญชาติอเมริกัน โดยเดเมียน ชาเซลล์ ผู้กำกับภาพยนตร์และนักเขียนบทชาวแคนาดา-อเมริกัน ซึ่งเคยสร้างความสำเร็จมาแล้วกับ Whiplash (ตีให้ลั่น เพราะฝันยังไม่จบ) ส่วนตัวเคยเห็นภาพยนตร์เรื่องนี้ผ่านตาอยู่บ่อยครั้งและรู้ว่าได้รับกระแสตอบรับที่ดีมากๆ แต่ไม่เคยมีโอกาสได้ดูเลย จนกระทั่งเมื่อตอนต้นปี

เนื้อเรื่อง รีวิว La La Land

 

รีวิว La La Land

 

La La Land หรือชื่อไทย นครดารา เป็นหนังเพลงแนวโรแมนติกคอมเมดี้ที่ได้รับการกล่าวขวัญมากที่สุดในขณะนี้ ด้วยทั้งรางวี่รางวัลที่หนังเรื่องนี้เข้าร่วมชิงจากหลากหลายเวทีทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ ทั้งกระแสคำวิจารณ์ที่แห่แหนไปทางบวกมากๆ  บางคนถึงกับคาดไว้ว่าหนังจะสามารถดำเนินรอยตาม The Artist (2011) คว้าออสการ์สาขาสำคัญๆได้ในครั้งนี้ ทว่าสิบปากว่าไม่เท่าดูเอง หนังมีดีขนาดไหนสมคำสรรเสริญหรือไม่ เชิญติดตามเลยครับ

เรื่องย่อ รีวิว La La Land

 

รีวิว La La Land

 

หนังเรื่องนี้นับเป็นครั้งที่ 3 แล้วที่ผู้กำกับขวัญใจเทศกาลหนังอย่าง Damien Chazelle ที่ทำเกี่ยวกับดนตรีแจ๊ส โดยหนังสองเรื่องก่อนหน้านี้ก็มี หนังหาชมยากเพราะตระเวนฉายแค่ตามเทศกาลหนังอย่าง Guy and Madeline on a Park Bench (2009) และหนังที่แจ้งเกิดให้ผู้กำกับดังเปรี้ยงปร้างอย่าง Whiplash (2014) ที่ได้เข้าชิงหลายสาขารางวัลออสการ์นั่นเอง ซึ่งเชื่อว่าคอหนังมากมายที่ตามมาดู ลาลาแลนด์ ก็ด้วยเพราะผลบุญที่ วิปแลช สร้างไว้มากมายนี้เองครับ

 

เล่าเรื่องราวของนักล่าฝัน 2 คนที่บังเอิญมาพบกันในเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการทำลายความหวังและทำหัวใจผู้คนแตกสลาย ‘ลอสแอนเจลิส’ ได้แก่ มีอา (เอมมา สโตน) พนักงานในคาเฟ่แห่งหนึ่งเธอลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อมาทำตามความฝันของตัวเองนั่นก็คือการได้เป็นดารา และ เซบาสเตียน (ไรอัน กอสลิง) นักเปียโนผู้หลงใหลในเพลงแจ๊สและอยากจะมีคลับแจ๊สเป็นของตัวเอง แต่ก็มีจุดหนึ่งที่ทำให้ต้องเลือกระหว่าง ความรัก หรือ ความฝัน โดยคำว่า La มาจากตัวย่อของชื่อเมือง Los Angeles ดูหนัง 

 

รีวิว La La Land

 

La La Land เป็นภาพยนตร์ที่เรียกได้ว่าขึ้นหิ้งเลยสำหรับภาพยนตร์เพลง สิ่งที่เป็นจุดเด่นในเรื่องนี้คือการผสมผสานกันระหว่างตัวเนื้อเรื่องหลักกับตัว Musical นั้นทำได้อย่างแนบเนียนคือมีการปูทางไว้ก่อนจากนั้นค่อยๆเปลี่ยนไปเป็น Musical ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้เยอะจนเกินไป สังเกตว่าจะมาเฉพาะช่วงที่เป็นฉากโรแมนติกๆ เพลงประกอบภาพยนตร์ก็ดีทุกเพลงเลย ย้ำว่าทุกเพลง

 

หลังจากที่ดูจบคือฟัง Soundtrack ของเรื่องนี้วนอยู่เป็นอาทิตย์เลยครับ ซึ่งเพลงของ La La Land นั้นถูกประพันธ์โดย Justin Hurwitz เพลงที่ผมชอบมากที่สุดคือ Audition (The Fools Who Dream) เป็นเพลงที่มีอาใช้ออดิชั่นจนผ่าน เนื้อเพลงเกี่ยวกับ ‘นักฝันผู้โง่เขลา’ และซีน Musical ที่ผมชอบที่สุดคือซีนนี้ครับ ซึ่งเป็นฉากที่อยู่ในโปสเตอร์ของภาพยนตร์

 

 

ภาพยนตร์เรื่องนี้จะแบ่งออกเป็น 4 ช่วง ตามฤดูกาล(ในสหรัฐฯ) ก็คือ Summer (ฤดูร้อน), Autumn (ฤดูใบไม้ร่วง), Winter (ฤดูหนาว), Spring (ฤดูใบไม้ผลิ) โดยช่วงต้นเรื่องจะอยู่ในฤดูหนาว ผมมีความรู้สึกว่าตัวเนื้อเรื่องจะสอดคล้องกับฤดูกาลในช่วงนั้นด้วย ตัวหนังเล่าเรื่องอยู่ตรงกลางระหว่างยุคเก่าและยุคใหม่ซึ่งผสมกันได้ดี เหมือนได้ดูหนังเพลงยุคเก่ากับหนังโรแมนติกยุคปัจจุบันรวมกัน แถมยังมีหลายฉากที่ถ่ายด้วยเทคนิค Long Take ซึ่งเป็นการถ่ายฉากๆหนึ่งด้วยกล้องตัวเดียว ซึ่งนี่จะให้ความรู้สึกเหมือนได้ติดตามตัวละครนั้นไป ดูหนังออนไลน์

 

ด้วยตัวบทและความสามารถด้านการแสดงของนักแสดงในเรื่องนี้ ทำให้รู้สึกทั้งตลก เขิน รวมถึงมีบางฉากที่ทำให้น้ำตาคลอตามเลย เป็นภาพยนตร์ที่ครบรสมาก ใครที่มีความฝัน มีแพชชั่นแรงๆ ควรมาดูเรื่องนี้เลยครับ เพราะมันจะทำให้ได้คิดได้ตั้งคำถามกับตัวเอง และอาจสร้างแรงกระตุ้นให้ตัวคุณเองด้วย หรือใครที่อยากเสพงานภาพ บอกเลยว่าเรื่องนี้ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนเพราะงานภาพเขาทำดีจริงๆ ทั้งสีและเทคนิคการถ่าย อย่างที่บอกไปว่าใช้เทคนิค Long Take ในการถ่าย ซึ่งจะทำให้รู้สึกอินขึ้นไปอีก

 

 

การดำเนินเรื่องค่อนข้างจะเรียบง่ายแต่ก็มีความลึกซึ้งและกินใจ อาจจะเพราะผมก็เป็นคนที่มีความฝันที่ยิ่งใหญ่เหมือนกัน และทำให้เราได้เห็นความจริงของชีวิตว่าโลกแห่งความฝันมันจะต้องจบลงในซักวัน เราอาจต้องเสียใครบางคนไปในขณะที่ทำตามความฝันของตัวเอง ตลอดทั้งเรื่องจะได้เห็นมีอาไปออดิชั่นอยู่ตลอด แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการทำตามความฝัน

 

การใช้ดนตรีและเพลงในการดำเนินเรื่องก็เป็นอีกจุดเด่นของหนังเรื่องนี้เพราะทำได้ยากและไม่มีเรื่องไหนทำได้อย่างที่ La La Land ทำ ซึ่งแต่ละเพลงที่ถูกแต่งขึ้นมานั้นก็เข้ากับเนื้อเรื่อง และ อธิบายความรู้สึกของตัวละครออกมาได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากจบของเรื่องเป็นอะไรที่บีบหัวใจมาก มันเป็นเรื่องราว 5 ปี ให้หลัง จากที่ทั้งสองแยกกันไปทำตาม

 

ความฝัน และได้บังเอิญมาเจอกันในคลับที่เซบาสเตียนเปิด ในตอนนี้ทั้งคู่ก็ประสบความสำเร็จแล้ว มีอาได้เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง ส่วนเซบาสเตียนก็มีคลับแจ๊สเป็นของตัวเอง เพียงแต่ว่ามันไม่ได้เป็นไปตามความฝันทุกอย่างเพราะทั้งคู่นั้นไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยกันแล้ว แต่ทั้งคู่ก็เข้าใจกันและกัน เพราะเป็นคนที่มีความฝันอันแรงกล้าเหมือนกัน เซบาสเตียนก็ได้เล่นเพลง ดูหนัง 4k

 

 

โดยเพลงนั้นมีชื่อว่า City of Stars และ ตัวหนังก็ไม่ได้ปล่อยให้เรางงว่าหากทั้งคู่ประสบความสำเร็จ และ ยังประคองความสัมพันธ์มาได้จะเป็นยังไง โดยเล่าคร่าวๆเป็นฉาก Musical ในตอนจบของเรื่องแม้ดูๆแล้ว La La Land อาจจะดูเหมือนหนังแนวโรแมนติกทั่วไป แต่จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้นั้นเน้นไปที่ความหลงใหล ความคลั่งไคล้ และ ความฝันของมนุษย์มากกว่า

 

ความรัก รวมถึงความล้มเหลวด้วย แต่ความฝันนั้นก็ถูกขับเคลื่อนด้วยความรัก โดยสื่อสารผ่านความคิด และ การกระทำของตัวละครในเรื่อง เนื่องจากทั้งสองมีสิ่งที่เหมือนกันนั่นคือยังไม่มีใครประสบความสำเร็จ ทำให้ทั้งคู่ต้องให้กำลังใจกันอยู่ตลอด อาจจะไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ดีที่สุด ไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ก็เป็นเรื่องที่อยากให้ทุกๆคนลองไปดูกัน La La Land เป็นหนังที่ค่อนข้าง

 

จะมีความศิลปะสูงมากทั้งบท การกำกับ การดำเนินเรื่อง สีของภาพ และ เพลง เพราะมีการดำเนินเรื่องแบบหนัง Musical ยุคเก่าๆ แต่โดยรวมแล้วถือว่าดีมากๆ อยากให้ลองไปดูกันถึงแม้ตอนจบอาจจะไม่เป็นแบบที่หวัง ตอนนี้สามารถดูได้ที่ Netflix นะครับ ดูจบแล้วลองตั้งคำถามกับตัวเองดูว่า ‘ความฝันจริงๆของเราคืออะไร’

 

 

ลาลาแลนด์ เป็นหนังเพลงแบบเต็มรูปแบบ ถ้า The Artist ทำมาเพื่อบูชาฮอลลีวู้ดยุคหนังเงียบ ลาลาแลนด์ ก็ทำมาเพื่อบูชาหนังเพลงในยุคค่าย MGM รุ่งเรืองนั่นเอง ไม่ว่าจะสไตล์ของงานศิลป์คอสตูมที่จัดจ้านแบบสมัยก่อน การฉายด้วยระบบ CinemaScope (อัตราส่วน 2.55:1) โครรีโอกราฟฟี่ทั้งการออกแบบท่าเต้น มูฟเม้นท์ของนักแสดงในฉากร้องเพลง และ ฉากต่าง

 

โดยเฉพาะฉากเปิดเรื่องที่โชว์ของกันสุดๆกับลองเทคด้วยนักเต้นหลายสิบชีวิตบนฉากทางด่วนที่เคยใช้ถ่ายฉากรถบัสเหินหาวในหนัง Speed (1994) และ ถ้าสังเกตดีๆในโลโก้เปิดเรื่องของค่าย 20th Century Fox ยังนำโลโก้เวอร์ชั่นปี 1953 ที่หนังเพลงรุ่งเรืองมาใช้ด้วย ดูหนังออนไลน์ 4k

 

 

นี่อาจยังต้องรวมไปถึงพล็อตเรื่องที่ว่าด้วย บอยมีทเกิร์ล ชายหนุ่มหญิงสาวตกหลุมรักกัน และ ฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามต่างๆ โดยเฉพาะการไล่ตามความฝันในมหานครแห่งโลกมายาอย่าง L.A. ด้วย หนังเล่าเรื่องสองพาร์ทอย่างเก๋ไก๋ทีเดียวในตอนเปิดเรื่อง หลังจากฉากเต้นสุดหวือหวาบนทางด่วนที่รถติดแน่นขนัด พระเอกกับนางเอกก็ได้พบกันครั้งแรกจากการบีบแตรใส่กัน รีวิวหนัง 

 

ด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะชักนิ้วกลางให้กัน และ กันเป็นความประทับใจแรกแบบพ่อแง่แม่งอน แล้วหนังก็เริ่มจับไปเล่าชีวิตของ มีอา (Emma Stone) นางเอกที่เป็นเพียงเด็กบ้านนอกที่มาทำงานบาร์เทนเดอร์ร้านกาแฟ และ เฝ้าตามความฝันในการเป็นนักแสดงโด่งดังแบบน้าของเธอในฮอลลีวู้ด เธอผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับการไปออดิชั่นแคสติ้งงานต่างๆ แต่ก็ไม่เคยท้อใจ จนวัน

 

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *