รีวิว Fallen (2016) เทวทัณฑ์

Addison Timlin เป็นดาราที่ผมแอบเอาใจช่วยเรื่อยมาครับ เธอเล่นเป็นนางเอกในเรื่อง Odd Thomas ได้แบบน่ารักและน่าจดจำมากๆ แต่หนังก็ไม่ดัง (อันที่จริงแล้ว ในอเมริกาไม่ได้เข้าโรงในวงกว้างด้วยซ้ำ) กับเรื่องนี้ก็ดัดแปลงจากนิยายดังอีกเรื่องครับ เธอรับบทลูซินดา ไพรซ์ (Timlin) สาวน้อยที่โดนหาว่าทำให้เพื่อนคนหนึ่งตาย เธอเลยถูกส่งไปอบรมในโรงเรียนแห่งใหม่อันเป็นจุดเริ่มของการค้นพบความลับเกี่ยวกับตัวเธอเองและโลกแห่งเทวทูต

หนังก็มาในสไตล์ Twilight, The Mortal Instruments, Beautiful Creatures แล้วก็ Vampire Academy น่ะครับ ตัวเอกคือสาวน้อยที่ชะตากรรมต้องไปข้องเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติ ได้เจอพระเอกหล่อๆ ได้พบกับการผจญภัย แล้วก็จบแบบทิ้งท้ายแบบ “โปรดติดตามตอนต่อไป”

ว่าแบบตรงๆ คือใครชอบแนวนี้ก็ลองดูได้เลยครับ หนังก็ถือว่าทำออกมาได้เพลินๆ เพียงแต่ช่วงแรกมันออกจะเอื่อยไปหน่อย เดินเรื่องชมนกชมไม้มากไปนิด พอมาถึงตอนกลางๆ ก็โอเคขึ้น มีปมมีอะไรให้เราติดตามบ้าง แต่ก็น่าเสียดายที่ปมเหล่านั้นยังไม่ได้รับการขยี้ให้น่าสนใจแบบเต็มๆ ดูหนังฟรี

รีวิว Fallen (2016) เทวทัณฑ์

จริงๆ เรื่องนี้ก็เหมือนหนังแนวนี้อีกหลายๆ เรื่องครับ โจทย์ใหญ่เลยคือต้องดึงผู้ชมเข้าสู่โลกของเรื่องราวให้ได้ เหมือน Harry Potter ดึงเราสู่โลกเวทย์มนต์หรือ Twilight ที่แนะนำเราให้รู้จักกับโลกแวมไพร์ ลองว่าทำได้ล่ะก็ อะไรๆ ก็จะง่ายขึ้น ความสนุกก็จะไหลมามากขึ้น

 

แต่กับเรื่องนี้หนังยังทำได้ไม่ถึงครับ คือมันก็มีการแนะนำตำนานเทวดา ตำนานเทวทูต หรือสงครามที่ยังไม่จบให้เรารู้ แต่มันไม่ทำให้เรารู้สึกอินหรือรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ (ทั้งที่จริงๆ เรื่องมันไม่ใช่เล็กๆ เลย) รวมถึงปมต่างๆ ที่ถูกนำเสนอก็ออกแนวเรื่อยๆ ไม่มีชั้นเชิงที่ทำให้เราสนุกไปกับมันเท่าที่ควร

 

จริงๆ หนังมีปมน่าสนใจที่น่าเล่นอีกเยอะครับ อย่างเรื่องเทวทูตทั้งหลาย เรื่องสงคราม เรื่องตัวลูซินดาที่หนังสามารถค่อยๆ เปิดปมทีละน้อยก็ได้ ไหนๆ ตอนต้นมันก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว ถ้าหนังเพิ่มปมที่น่าสนใจใส่ลงไปตั้งแต่ต้นเรื่อง แล้วก็ค่อยๆ ใส่องค์ประกอบต่างๆ ที่ดึงเราสู่โลกแห่งเทวทูต มันคงโอเคกว่านี้น่ะครับ

รีวิว Fallen (2016) เทวทัณฑ์

และที่ออกจะอึ้งคือตอนจบครับ จบไวมาก จู่ๆ จบเลยเหมือนซีรี่ส์ที่จบแบบ Cliffhanger รอให้เราดูตอนต่อไป ซึ่งหากใครดูแล้วอินหรือเคยอ่านนิยายจนพอรู้อะไรๆ บ้างแล้ว การดูตอนจบแบบนี้ก็อาจรู้สึกแบบหนึ่ง แต่กับคนที่ยังไม่อิน หรือยังไม่เข้าถึงโลกในหนังแล้ว มันเป็นการจบที่ชวนเหวอน่ะครับ ประมาณว่าจะไม่แลนดิ้งทิ้งช่วงให้เราทำความเข้าใจอะไรเลยหรือนี่

 

จริงๆ ดาราโอเคครับ Timlin น่ารักเหมือนเคย เธอดูมีเสน่ห์แบบน่าทะนุถนอม เพียงแต่ความเด่นในคาแรคเตอร์อาจยังไม่เยอะ ส่วน Jeremy Irvine ในบทแดเนียลกับ Harrison Gilbertson ในบทแคม ก็เล่นได้ไม่เลวเช่นกัน เพียงแต่ก็เหมือนตัวหนังน่ะครับ พวกเขายังดูไม่เด่นแบบเต็มที่

 

ดารารุ่นใหญ่อย่าง Joely Richardson มารับบทมิสซิสโซเฟีย ซึ่งเธอก็เล่นได้ดีตามมาตรฐานล่ะครับ และอีกคนที่ผมจำได้มากหน่อยก็คือ Lola Kirke ในบท เพนน์ เพื่อนของนางเอก รายนี้ด้วยคาแรคเตอร์ด้วยอะไรๆ แล้วผมว่าเธอน่าจดจำสุด ไม่มากไม่น้อยเกินไป กำลังดีครับ

รีวิว Fallen (2016) เทวทัณฑ์

ผมเสียดายนะ จริงๆ ผมเสียดายเสมอยามดูหนังที่ดัดแปลงจากนิยายที่มีหลายเล่มแล้วทำออกมาได้เพียงระดับกลางๆ ทั้งที่จริงๆ เนื้อในของแต่ละเรื่องมันมีประเด็น มันมีมิติและเรื่องราวในโลกของมันให้บอกเล่าอีกเยอะแยะ แต่หนังส่วนใหญ่จะไม่สามารถสกัดเอาของดีมาเล่าบนจอได้แบบเต็มที่

เรื่องย่อ รีวิว Fallen (2016) เทวทัณฑ์

ถ้าหนังมีตอนต่อมาก็พร้อมดูครับ เพราะอย่างที่บอกว่าจริงๆ หลายประเด็นมันน่าสนนะ เรื่องเทวทูต เรื่องความลับต่างๆ ไหนจะเรื่องฝักฝ่ายข้างพรรคอีก แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า Scott Hicks ดูไม่เหมาะกับบทตำแหน่งกำกับเรื่องนี้สักเท่าไร เพราะจริงๆ แกทำหนังดราม่าได้ดีครับ แต่นี่คือหนังแฟนตาซีที่ต้องใช้วิสัยทัศน์ในเชิงจินตนาการมากๆ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็ออกมาเรื่อย ๆ เป็นแฟนตาซีที่ดูมีอะไร แต่ก็ยังไม่เต็มที่เท่าที่ควรกับ “อะไร” ที่ว่านั่น ดูหนังใหม่

 

อันที่จริงในช่วงเวลาที่นิยาย Twilight ถูกหยิบมาทำเป็นหนังและต่อยอดกันไปถึง 5 ภาคนั้น Fallen ถือเป็นนวนิยายรักโรแมนติกแนวโกธิคที่ถูกเล็งมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์มาหลายปีแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็ต้องเจอโรคเลื่อนมาตลอด แถมเมื่อหนังสร้างเสร็จก็เจอปัญหาค่ายหนัง Relativity Media ประสบกับภาวะล้มละลาย หมดสิทธิ์ฉายในสหรัฐอเมริกา ทำให้หนังถูกดองมาเป็นปี แต่เมื่อมองดูจากกลุ่มแฟนหนังสือที่ตามมาจากงานเขียนของ ลอเรน เคท อยู่แล้ว ถือได้ว่า Fallen ก็ยังมีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย

ถ้าเอามหากาพย์ Twilight เป็นตัวตั้ง และมองจากความเป็นนวนิยายขายดี จนมีภาคต่อมาแล้ว 3 ภาค คือ ทรทัณฑ์ (Torment), ทิพยทัณฑ์ (Passion) และ ทุรทัณฑ์ (Rapture) พอมาถึงแง่คนทำหนังเองก็คาดหวังว่า Fallen มันมี ‘ของ’ มาขาย และอาจจุดกระแสให้คนแห่กันชมแห่กันไปหานิยายมาอ่านทั่วบ้านทั่วเมืองเหมือน

 

Twilight บ้าง ด้วยความที่มันเป็นหนังค่อนข้างจับกลุ่มเฉพาะกลุ่มเด็กผู้หญิง (Naive girl) ที่มีมุมมองแนวโลกสวยอยู่แล้ว คนอ่านนวนิยายหรือตามหนังสไตล์นี้มักโปรดปรานที่ได้เห็น ‘ความรัก’ ปนเปื้อนกลิ่นอายแฟนตาซี โดยเฉพาะนางเอกที่มีความรักข้ามเผ่าพันธุ์ ข้ามสถานะกับพระเอก ซึ่งต้องบอกว่าเป็นแนวทาง วิธีการที่คนดูกลุ่มนี้ชอบให้หนังนำพาตัวตนออกไปจากโลกความจริงเป็นพักๆ

สำหรับ Fallen นี้ มีชื่อของ สก็อตต์ ฮิคส์ ผู้กำกับชาวออสซีที่เคยสร้าง เจฟฟรี่ย์ รัช กับบทบาทของนักเปียโนจิตแปรปรวนในเรื่อง Shine (1996) จนไต่ไปคว้ารางวัลออสการ์สาขาดารานำชาย มานั่งแท่นกำกับด้วย ส่วนตัวเคยผ่านงานของเขามาบ้างกับ Snow Falling on Cedars (1999) ในช่วงพีคของพระเอก อีธาน ฮอว์ก

 

แต่สำหรับ Fallen นั้นโจทย์ของ ฮิคส์ ต่างออกไปมาก แม้มันจะไม่ได้ถูกคาดหวังอะไรมากนักเมื่อมองจากตลาดหนังบ็อกซ์ออฟฟิศรอบนี้ อย่างไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่าภาคปฐมบท ก็เหมือนขึ้นเวทีพิพากษาจากคนดูว่ามันจะมีแววไปได้ไกลแค่ไหนกับการวางตัวเองเป็นหนังแฟรนไชส์

ตัวพล๊อตเรื่องก็พูดถึง ลูซินด้า ไพรซ์ หรือ ลูซ (แอดดิสัน ทิมลิน) สาววัย 17 ปีที่เข้ารับบำบัดในโรงเรียนดัดสันดานที่อยู่ห่างไกลซอร์ดแอนด์ครอสส์ และโรงเรียนแห่งนั้นมีเด็กวัยรุ่นที่อยู่ในสถานะ ‘มีปัญหา’ เข้ามาคุมประพฤติในโรงเรียนแห่งนี้ และที่นี่เองที่ ลูซ ได้เจอกับ แดเนียล (เจเรมี่ เออร์วีน) และ คาเมรอน หรือ แคม (แฮริสัน กิลเบิร์ทสัน) หนุ่มหล่อ 2 คนที่เป็นเทวดาตกสวรรค์ในคราบของมนุษย์ และ 2 คนนี้ก็ต่อสู้เพื่อให้ได้เป็นผู้ครอบครองความรักของลูซ

รีวิว Fallen (2016) เทวทัณฑ์

อันที่จริงในช่วงเวลาที่นิยาย Twilight ถูกหยิบมาทำเป็นหนังและต่อยอดกันไปถึง 5 ภาคนั้น Fallen ถือเป็นนวนิยายรักโรแมนติกแนวโกธิคที่ถูกเล็งมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์มาหลายปีแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็ต้องเจอโรคเลื่อนมาตลอด แถมเมื่อหนังสร้างเสร็จก็เจอปัญหาค่ายหนัง Relativity Media ประสบกับภาวะล้มละลาย หมดสิทธิ์ฉายในสหรัฐอเมริกา ทำให้หนังถูกดองมาเป็นปี แต่เมื่อมองดูจากกลุ่มแฟนหนังสือที่ตามมาจากงานเขียนของ ลอเรน เคท อยู่แล้ว ถือได้ว่า Fallen ก็ยังมีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย รีวิวหนัง

 

ถ้าเอามหากาพย์ Twilight เป็นตัวตั้ง และมองจากความเป็นนวนิยายขายดี จนมีภาคต่อมาแล้ว 3 ภาค คือ ทรทัณฑ์ (Torment), ทิพยทัณฑ์ (Passion) และ ทุรทัณฑ์ (Rapture) พอมาถึงแง่คนทำหนังเองก็คาดหวังว่า Fallen มันมี ‘ของ’ มาขาย และอาจจุดกระแสให้คนแห่กันชมแห่กันไปหานิยายมาอ่านทั่วบ้านทั่วเมืองเหมือน

 

Twilight บ้าง ด้วยความที่มันเป็นหนังค่อนข้างจับกลุ่มเฉพาะกลุ่มเด็กผู้หญิง (Naive girl) ที่มีมุมมองแนวโลกสวยอยู่แล้ว คนอ่านนวนิยายหรือตามหนังสไตล์นี้มักโปรดปรานที่ได้เห็น ‘ความรัก’ ปนเปื้อนกลิ่นอายแฟนตาซี โดยเฉพาะนางเอกที่มีความรักข้ามเผ่าพันธุ์ ข้ามสถานะกับพระเอก ซึ่งต้องบอกว่าเป็นแนวทาง วิธีการที่คนดูกลุ่มนี้ชอบให้หนังนำพาตัวตนออกไปจากโลกความจริงเป็นพักๆ

สำหรับ Fallen นี้ มีชื่อของ สก็อตต์ ฮิคส์ ผู้กำกับชาวออสซีที่เคยสร้าง เจฟฟรี่ย์ รัช กับบทบาทของนักเปียโนจิตแปรปรวนในเรื่อง Shine (1996) จนไต่ไปคว้ารางวัลออสการ์สาขาดารานำชาย มานั่งแท่นกำกับด้วย ส่วนตัวเคยผ่านงานของเขามาบ้างกับ Snow Falling on Cedars (1999)

 

ในช่วงพีคของพระเอก อีธาน ฮอว์ก แต่สำหรับ Fallen นั้นโจทย์ของ ฮิคส์ ต่างออกไปมาก แม้มันจะไม่ได้ถูกคาดหวังอะไรมากนักเมื่อมองจากตลาดหนังบ็อกซ์ออฟฟิศรอบนี้ อย่างไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่าภาคปฐมบท ก็เหมือนขึ้นเวทีพิพากษาจากคนดูว่ามันจะมีแววไปได้ไกลแค่ไหนกับการวางตัวเองเป็นหนังแฟรนไชส์

 

ตัวพล๊อตเรื่องก็พูดถึง ลูซินด้า ไพรซ์ หรือ ลูซ (แอดดิสัน ทิมลิน) สาววัย 17 ปีที่เข้ารับบำบัดในโรงเรียนดัดสันดานที่อยู่ห่างไกลซอร์ดแอนด์ครอสส์ และโรงเรียนแห่งนั้นมีเด็กวัยรุ่นที่อยู่ในสถานะ ‘มีปัญหา’ เข้ามาคุมประพฤติในโรงเรียนแห่งนี้ และที่นี่เองที่ ลูซ ได้เจอกับ แดเนียล (เจเรมี่ เออร์วีน) และ คาเมรอน หรือ แคม (แฮริสัน กิลเบิร์ทสัน) หนุ่มหล่อ 2 คนที่เป็นเทวดาตกสวรรค์ในคราบของมนุษย์ และ 2 คนนี้ก็ต่อสู้เพื่อให้ได้เป็นผู้ครอบครองความรักของลูซ

ตัวหนังออกแบบมาให้ย่อยง่ายๆ การเดินเรื่องนั้นไม่ซับซ้อน ทำได้ค่อนข้างกระชับ เปลี่ยนอารมณ์ไว จนทำให้หนังบางช่วงขาด dynamic ไป โดยเฉพาะการปูเรื่อง การเริ่มต้นความสัมพันธ์ของตัวละครหลักนั้นเรียกว่ายิ่งกว่ารวบรัด ไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก

 

เข้าใจว่าผู้กำกับพยายามระมัดระวังไม่เล่าเรื่องให้ดูเลี่ยน เพื่อเอาใจคนดูกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ใช่ผู้หญิงจ๋าด้วย ทำให้การเดินเรื่องทำได้มันไม่ละเอียดเท่าไหร่นัก แต่ความที่ตัวละครแต่ละตัวปิดบังความลับเอาไว้ก็นำพาให้ตัวหนังยังมีความน่าสนใจ ดูต่อไปได้โดยที่หัวยังไม่ต้องถึงหมอน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *