รีวิว นครดารา

La La Land (นครดารา) ภาพยนตร์เพลงแนวโรแมนติก สัญชาติอเมริกัน โดยเดเมียน ชาเซลล์ ผู้กำกับภาพยนตร์และนักเขียนบทชาวแคนาดา-อเมริกัน ซึ่งเคยสร้างความสำเร็จมาแล้วกับ Whiplash (ตีให้ลั่น เพราะฝันยังไม่จบ) ส่วนตัวเคยเห็น

 

ภาพยนตร์เรื่องนี้ผ่านตาอยู่บ่อยครั้งและรู้ว่าได้รับกระแสตอบรับที่ดีมากๆ แต่ไม่เคยมีโอกาสได้ดูเลย จนกระทั่งเมื่อตอนต้นปีถึงมีโอกาสได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ใน Netflix และหลังจากที่ดูจบก็รู้สึกชอบมากๆ เป็นภาพยนตร์ที่ถ้าให้คะแนนเลยคือ 10/10 ผมเลยจะมาเขียนรีวิวในบทความนี้ ดูหนัง

เนื้อเรื่อง รีวิว นครดารา

 

รีวิว นครดารา

 

La La Land (นครดารา) เล่าเรื่องราวของนักล่าฝัน 2 คนที่บังเอิญมาพบกันในเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการทำลายความหวังและทำหัวใจผู้คนแตกสลาย ‘ลอสแอนเจลิส’ ได้แก่ มีอา (เอมมา สโตน) พนักงานในคาเฟ่แห่งหนึ่งเธอลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อมา

 

ทำตามความฝันของตัวเองนั่นก็คือการได้เป็นดารา และ เซบาสเตียน (ไรอัน กอสลิง) นักเปียโนผู้หลงใหลในเพลงแจ๊ส และอยากจะมีคลับแจ๊สเป็นของตัวเอง แต่ก็มีจุดหนึ่งที่ทำให้ต้องเลือกระหว่าง ความรัก หรือ ความฝัน โดยคำว่า La มาจากตัวย่อของชื่อเมือง Los Angeles ดูหนังออนไลน์

 

La La Land เป็นภาพยนตร์ที่เรียกได้ว่าขึ้นหิ้งเลยสำหรับภาพยนตร์เพลง สิ่งที่เป็นจุดเด่นในเรื่องนี้คือการผสมผสานกันระหว่างตัวเนื้อเรื่องหลักกับตัว Musical นั้นทำได้อย่างแนบเนียนคือมีการปูทางไว้ก่อนจากนั้นค่อยๆเปลี่ยนไปเป็น Musical ซึ่งเรื่องนี้

 

รีวิว นครดารา

 

ไม่ได้เยอะจนเกินไป สังเกตว่าจะมาเฉพาะช่วงที่เป็นฉากโรแมนติกๆ เพลงประกอบภาพยนตร์ก็ดีทุกเพลงเลย ย้ำว่าทุกเพลง หลังจากที่ดูจบคือฟัง Soundtrack ของเรื่องนี้วนอยู่เป็นอาทิตย์เลยครับ ซึ่งเพลงของ La La Land นั้นถูกประพันธ์โดย Justin

 

Hurwitz เพลงที่ผมชอบมากที่สุดคือ Audition (The Fools Who Dream) เป็นเพลงที่มีอาใช้ออดิชั่นจนผ่าน เนื้อเพลงเกี่ยวกับ ‘นักฝันผู้โง่เขลา’ และซีน Musical ที่ผมชอบที่สุดคือซีนนี้ครับ ซึ่งเป็นฉากที่อยู่ในโปสเตอร์ของภาพยนตร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้จะแบ่งออกเป็น 4 ช่วง ตามฤดูกาล(ในสหรัฐฯ) ก็คือ Summer (ฤดูร้อน), Autumn (ฤดูใบไม้ร่วง), Winter (ฤดูหนาว), Spring (ฤดูใบไม้ผลิ) โดยช่วงต้นเรื่องจะอยู่ในฤดูหนาว ผมมีความรู้สึกว่าตัวเนื้อเรื่องจะสอดคล้องกับฤดูกาล

เรื่องย่อ รีวิว นครดารา

 

รีวิว นครดารา

 

ในช่วงนั้นด้วย ตัวหนังเล่าเรื่องอยู่ตรงกลางระหว่างยุคเก่าและยุคใหม่ซึ่งผสมกันได้ดี เหมือนได้ดูหนังเพลงยุคเก่ากับหนังโรแมนติกยุคปัจจุบันรวมกัน แถมยังมีหลายฉากที่ถ่ายด้วยเทคนิค Long Take ซึ่งเป็นการถ่ายฉากๆหนึ่งด้วยกล้องตัวเดียว ซึ่งนี่จะให้ความรู้สึกเหมือนได้ติดตามตัวละครนั้นไป

 

ด้วยตัวบทและความสามารถด้านการแสดงของนักแสดงในเรื่องนี้ ทำให้รู้สึกทั้งตลก เขิน รวมถึงมีบางฉากที่ทำให้น้ำตาคลอตามเลย เป็นภาพยนตร์ที่ครบรสมาก ใครที่มีความฝัน มีแพชชั่นแรงๆ ควรมาดูเรื่องนี้เลยครับ เพราะมันจะทำให้ได้คิดได้ตั้ง ดูหนัง 4k

 

คำถามกับตัวเอง และอาจสร้างแรงกระตุ้นให้ตัวคุณเองด้วย หรือใครที่อยากเสพงานภาพ บอกเลยว่าเรื่องนี้ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนเพราะงานภาพเขาทำดีจริงๆ ทั้งสีและเทคนิคการถ่าย อย่างที่บอกไปว่าใช้เทคนิค Long Take ในการถ่าย ซึ่งจะทำให้รู้สึกอินขึ้นไปอีก

 

 

การดำเนินเรื่องค่อนข้างจะเรียบง่ายแต่ก็มีความลึกซึ้งและกินใจ อาจจะเพราะผมก็เป็นคนที่มีความฝันที่ยิ่งใหญ่เหมือนกัน และทำให้เราได้เห็นความจริงของชีวิตว่าโลกแห่งความฝันมันจะต้องจบลงในซักวัน เราอาจต้องเสียใครบางคนไปในขณะที่ทำตาม

 

ความฝันของตัวเอง ตลอดทั้งเรื่องจะได้เห็นมีอาไปออดิชั่นอยู่ตลอด แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการทำตามความฝัน การใช้ดนตรีและเพลงในการดำเนินเรื่องก็เป็นอีกจุดเด่นของหนังเรื่องนี้เพราะทำได้ยากและไม่มีเรื่องไหนทำได้อย่างที่ La La Land

 

ทำ ซึ่งแต่ละเพลงที่ถูกแต่งขึ้นมานั้นก็เข้ากับเนื้อเรื่องและอธิบายความรู้สึกของตัวละครออกมาได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากจบของเรื่องเป็นอะไรที่บีบหัวใจมาก มันเป็นเรื่องราว 5 ปี ให้หลัง จากที่ทั้งสองแยกกันไปทำตามความฝัน และได้

 

 

บังเอิญมาเจอกันในคลับที่เซบาสเตียนเปิด ในตอนนี้ทั้งคู่ก็ประสบความสำเร็จแล้ว มีอาได้เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง ส่วนเซบาสเตียนก็มีคลับแจ๊สเป็นของตัวเอง เพียงแต่ว่ามันไม่ได้เป็นไปตามความฝันทุกอย่างเพราะทั้งคู่นั้นไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยกันแล้ว แต่

 

ทั้งคู่ก็เข้าใจกันและกัน เพราะเป็นคนที่มีความฝันอันแรงกล้าเหมือนกัน เซบาสเตียนก็ได้เล่นเพลงให้มีอา โดยเพลงนั้นมีชื่อว่า City of Stars และตัวหนังก็ไม่ได้ปล่อยให้เรางงว่าหากทั้งคู่ประสบความสำเร็จและยังประคองความสัมพันธ์มาได้จะเป็นยังไง โดยเล่าคร่าว ๆ เป็นฉาก Musical ในตอนจบของเรื่อง ดูหนังออนไลน์ 4k

 

แม้ดูๆแล้ว La La Land อาจจะดูเหมือนหนังแนวโรแมนติกทั่วไป แต่จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้นั้นเน้นไปที่ความหลงใหล ความคลั่งไคล้และความฝันของมนุษย์มากกว่าความรัก รวมถึงความล้มเหลวด้วย แต่ความฝันนั้นก็ถูกขับเคลื่อนด้วยความรัก โดย

 

 

สื่อสารผ่านความคิดและการกระทำของตัวละครในเรื่อง เนื่องจากทั้งสองมีสิ่งที่เหมือนกันนั่นคือยังไม่มีใครประสบความสำเร็จ ทำให้ทั้งคู่ต้องให้กำลังใจกันอยู่ตลอด อาจจะไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ดีที่สุด ไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ก็เป็นเรื่องที่อยากให้ทุก ๆ คนลองไป

 

ดูกัน La La Land เป็นหนังที่ค่อนข้างจะมีความศิลปะสูงมากทั้งบท การกำกับ การดำเนินเรื่อง สีของภาพ และเพลง เพราะมีการดำเนินเรื่องแบบหนัง Musical ยุคเก่า ๆ แต่โดยรวมแล้วถือว่าดีมากๆ อยากให้ลองไปดูกันถึงแม้ตอนจบอาจจะไม่เป็นแบบที่หวัง ตอนนี้สามารถดูได้ที่ Netflix นะครับ ดูจบแล้วลองตั้งคำถามกับตัวเองดูว่า ‘ความฝันจริง ๆ ของเราคืออะไร’

 

นี่คือหนัง “กระแสแรง” ที่สุดในเวลานี้ หลังจากกวาดรางวัลมาอย่างไม่หยุดหย่อน และพล็อตหนังโรแมนติกที่น่าจะเข้าถึง “คนดูหนัง” ชาวไทยในเวลานี้ เรามาดู 9 เหตุผลกันดีกว่าว่า ทำไมคุณถึงไม่ควรพลาดหนังอย่าง LA LA LAND ว่าที่หนังที่ “อาจจะ” คว้ารางวัลออสการ์ในสาขาภาพยนตร์ “ยอดเยี่ยม” ในปี 2017 มาครอบครอง

 

 

เป็นเวลาเกือบ 15 ปีหลังจากที่หนังเพลงอย่าง Chicago คว้ารางวัล Best Picture หรือภาพยนตร์ยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์มาครอบครอง แต่หลังจากการมาถึงของ LA LA LAND ในปีนี้ เราค่อนข้างมั่นใจว่านี่จะเป็นหนังเพลงอีกเรื่องในรอบทศวรรษที่จะ

 

ทะยานขึ้นไปคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์ปี 2017 (แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มีการประกาศรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลก็ตาม) เมื่อพิจารณาจากกระแสของผู้ชมและนักวิจารณ์แล้ว LA LA LAND คือหนังประเภทที่ผู้ชมถึงไม่ชอบก็จะไม่มีทางเกลียดอย่างแน่นอน

 

หนังไปถ่ายทำในโลเคชั่นอย่างโรงหนังริอัลโต้ โรงหนังเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์วัฒนธรรมป๊อป, ไลท์เฮาส์ คาเฟ่ คลับแจ๊สขนานแท้อายุกว่า 6 ทศวรรษ ริมชายหาดเรคอนโด, หอดูดาวกริฟฟิธ พาร์ค หอดูดาวที่เป็นตำนานของแอล.เอ. มีโดมใหญ่ที่ภายในจำลองภาพดวงดาวเต็มท้องฟ้า รีวิวหนัง

 

 

เรื่องราวของ LA LA LAND โฟกัสไปที่หนุ่มสาวสองคู่รัก เซบาสเตียน หนุ่มนักเปียโนแจ๊ส และมีอา นักแสดงสาวอนาคตไกล ทั้งคู่พบกันครั้งกลางถนนที่มีการจราจรสุดติดขัดเป็นภาพสะท้อนความยากลำบากที่ทั้งสองต้องเผชิญในเมืองนี้ ทั้งคู่มีความหวัง

 

ลมๆ แล้งๆ กันคนละด้าน เซบาสเตียน พยายามให้คนยุคนี้หันมาสนใจดนตรีแจ๊ส ส่วน มีอา หวังให้การออดิชั่นของเธอออกมาราบรื่นซักครั้ง แต่ทั้งสองไม่รู้เลยว่าการพบกันครั้งนี้นำพวกเขาสู่การเดิมพันครั้งยิ่งใหญ่ ที่ไม่อาจทำได้ตามลำพัง การเดิมพันที่ ทั้งสองเลือก ขัดแย้งกับความฝันที่จะเป็นศิลปินมีชื่อเสียงของพวกเขา ก่อให้เกิดโลกในภาพยนตร์อันเป็นเอกลัษณ์ ประกอบไปด้วย แสง สี เสียง ดนตรี และ ถ้อยคำ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *